1. |
|
2. |
พระองค์คือ ผู้ที่ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากดิน แล้วได้ทรงกำหนดเวลาแห่งความยากไว้และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งนั้นอยู่ที่พระองค์แต่แล้วพวกเจ้าก็ยังสงสัยกันอยู่ |
3. |
และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้าและทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่ |
4. |
และไม่มีโองการใด จากบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขามายังพวกเขานอกจากได้ปรากฎว่าพวกเขาผินหลังให้แก่โองการนั้น |
5. |
แน่นอนพวกเขาได้ปฏิเสธความจริง เมื่อความจริงนั้นได้มายังพวกเขาแล้วข่าวคราวของสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้นั้นก็จะมายังพวกเขา |
6. |
พวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่า กี่ประชาชาติมาแล้วที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขาซึ่งเราได้ให้พวกเขามีอำนาจและความสามารถในแผ่นดินซึ่งสิ่งที่เรามิได้ให้มีแก่พวกเจ้า และเราได้ส่งฝนมายังพวกเขาอย่างมากมายและเราได้ให้มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของพวกเขา แล้วเราก็ทำลายพวกเขาเสียเนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา และเราได้ให้มีขึ้นหลังจากพวกเขาซี่งประชาชาติอื่น |
7. |
และหากเราได้ให้ลงมาแก่เจ้า ซึ่งคัมภีร์ฉบับหนึ่ง (ที่ถูกจารึกไว้) ในกระดาษแล้วพวกเขาก็ได้สัมผัสคัมภีร์นั้นด้วยมือของพวกเขาเองแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาย่อมกล่าวว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใดนอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น |
8. |
และพวกเขาได้กล่าวว่า ไฉนเล่ามะลักจึงมิได้ถูกให้ลงมาแก่เขาและหากว่าเราได้ให้มะลักลงมาแล้ว แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ย่อมถูกชี้ขาดแล้วพวกเขาก็จะไม่ถูกรอคอย |
9. |
และหากว่าเราได้ให้เขา เป็นมะลักแน่นอนเราก็ย่อมให้เขาเป็นคนผู้ชายและแน่นอนเราก็ย่อมให้สิ่งที่พวกเขาคลุมเคลือกันอยู่ เป็นที่คลุมเคลือแก่พวกเขา |
10. |
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ล ก่อนเจ้านั้นได้ถูกเย้ยหยันมาแล้วดังนั้นจึงได้ล้อมบรรดาผู้ที่เย้ยหยันร่อซู้ลเหล่านั้นไว้ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันกัน |
11. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเดินไปในแผ่นดินเถิด แล้วจงดูว่าผลสุดท้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นเป็นอย่างไร? |
12. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นของใคร?จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าเป็นของอัลลอฮ์พระองค์ได้ทรงกำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าไปสู่วันกิยามะฮ์ โดยไม่มีการสงสัยใดๆ :ในวันนั้นบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น พวกเขาก็จะไม่ศรัทธา |
13. |
และสิ่งที่สงบเงียบอยู่ในเวลากลางคืนและกลางวันนั้นเป็นสิทธิของพระองค์และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ |
14. |
จงกล่าวเถิด ฉันจะยึดถือ ผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์ กระนั้นหรือซึ่งพระองค์เป็นผู้ประดิษฐ์บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและพระองค์เป็นผู้ทรงให้อาหารและไม่ถูกให้อาหาร จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)แท้จริงนั้นถูกใช้ให้เป็นคนแรกในหมู่ผู้ที่สวามิภักดิ์และพวกท่านจงอย่าอยู่ในหมู่ให้มีภาคีเป็นอันขาด |
15. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน |
16. |
ผู้ใดที่การลงโทษถูกหันเหออกจากเขาในวันนั้นแล้ว แน่นอนพระองค์ทรงเอ็นดูเมตตาเขาและนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ |
17. |
และหากว่าอัลลอฮ์ ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้นและหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้าแท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง |
18. |
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน |
19. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า สิ่งใดใหญ่ยิ่งกว่าในการเป็นพยานจงกล่าวเถิดว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่านและอัลกุรอานนี้ก็ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ใช้อัลกุรอานนี้ตักเตือนพวกท่าน และผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึงพวกท่านจะยืนยันโดยแน่นอนกระนั้นหรือว่า มีบรรดาที่เคารพสักการะอื่นร่วมกับอัลลอฮ์?จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่ยืนยัน จงกล่าวเถิดแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้นและแท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคี (แก่อัลลอฮ์) |
20. |
บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขารู้จักเขาเช่นเดียวกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของพวกเขาเองบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น พวกเขาจะไม่ศรัทธา |
21. |
และผู้ใดเล่า คือผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์? แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ |
22. |
และวันที่เราจะชุมนุมพวกเขาทั้งมวลแล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นว่าไหนเล่าบรรดาภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าอ้างกัน |
23. |
แล้ว (ผลแห่ง) การทดสอบพวกเขาก็มิได้เป็นอย่างอื่น นอกจากพวกเขากล่าวว่าพวกข้าพระองค์ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ว่าพวกข้าพระองค์ไม่เคยเป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น |
24. |
จงดูเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาได้โกหกแก่ตัวพวกเขาเองอย่างไร?และสิ่งที่พวกเขาเคยอุปโลกน์ขึ้นก็ได้หายไปจากพวกเขา |
25. |
และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่สดับฟังเจ้าอยู่บ้างแต่เราได้ให้มีสิ่งปิดกั้นอยู่บนหัวใจของพวกเขา ในการที่พวกเขาจะเข้าใจอัลกุร-อานและได้ให้ในหูของพวกเขามีความหนวกอยู่ด้วย และหากพวกเขาเห็นสัญญาณทุกอย่างพวกเขาก็จะไม่ศรัทธาจนกระทั่งพวกเขาได้มาหาเจ้า ก็ยังโต้เถียงกับเจ้าบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นจะกล่าวว่า นี่มิใช่อะไรอื่นนอกจากบรรดาสิ่งขีดเขียนอันไร้สาระของคนก่อนๆ เท่านั้น (นิยายโบราณ) |
26. |
และพวกเขาห้ามเกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกุรอานด้วยและพวกเขาจะไม่ทำให้ใครพินาศ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้สึก |
27. |
และหากเจ้าจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาถูกให้หยุดยืนเบื้องหน้าไฟนรกแล้วพวกเขาได้กล่าวว่า โอ้! หวังว่าเราจะถูกนำกลับไปและเราก็จะไม่ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของเราอีกและเราก็จะได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา |
28. |
แต่ทว่าได้ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้แต่กาลก่อนและแม้ว่าพวกเขาถูกให้กลับไป แน่นอนพวกเขาก็กลับกระทำอีกในสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้และแท้จริงพวกเขาคือผู้ที่กล่าวเท็จ |
29. |
และพวกเขากล่าวว่า มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากชีวิตความเป็นอยู่ของเราในโลกนี้เท่านั้นและเรานั้นใช่ว่าจะเป็นผู้ถูกให้ฟื้นคืนชีพก็หาไม่ |
30. |
และหากว่าเจ้าจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาถูกให้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าของพวกเขาโดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ?พวกเขาตอบว่า ใช่ขอรับพวกข้าพระองค์ขอสาบานด้วยพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่าพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษกันเถิด เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา |
31. |
แน่นอนได้ขาดทุนไปแล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮ์จนกระทั่งเมื่อวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกเขาโดยกระทันหัน แล้วพวกเขาก็กล่าวว่าโอ้ความเสียใจของเรา ในสิ่งที่เราได้ทำให้บกพร่องในโลกโดยที่พวกเขาแบกบรรดาบาปของพวกเขาไว้บนหลังของพวกเขาด้วย พึงรู้เถิดว่าช่างเลวร้ายจริงๆ สิ่งที่พวกเขากำลังแบกอยู่ |
32. |
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการเล่นและการเพลิดเพลินเท่านั้นและแน่นอนสำหรับบ้านแห่งอาคีเราะห์นั้นดียิ่งกว่าสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง พวกเจ้าไม่ได้ใช้ปัญญาดอกหรือ? |
33. |
เรารู้ดีว่า สิ่งที่พวกเขากล่าวกันนั้นทำให้เจ้าเสียใจแท้จริงพวกเขาหาได้ปฏิเสธเจ้าไม่แต่ทว่าบรรดาผู้อธรรมนั้นปฏิเสธโองการต่างๆของอัลลอฮ์ต่างหาก |
34. |
และแน่นอนบรรดาร่อซู้ลก่อนเจ้านั้นได้ถูกปฏิเสธมาแล้วแล้วพวกเขาอดทนต่อสิ่งที่พวกเขาถูกปฏิเสธ และถูกทำร้ายจนกระทั่งความช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพจนารถของอัลลฮ์ได้และแท้จริงนั้นได้มายังเจ้าแล้ว จากข่าวคราวของบรรดาผู้ที่ถูกส่งมา |
35. |
และหากว่าการผินหลังให้ของพวกเขานั้นมันใหญ่โตแก่เจ้าแล้วหากเจ้าสามารถที่จะแสวงหาช่องใดๆลงในแผ่นดิน หรือบันไดสู่ฟากฟ้าแล้วทำสัญญาณหนึ่งมายังพวกเขา และหากว่าอัลลอฮ์ ทรงประสงค์แล้วแน่นอนพระองค์ก็ทรงรวบรวมพวกเขาให้อยู่บนคำแนะนำแล้วดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้งมงายเลย |
36. |
แท้จริง ที่จะตอบรับนั้นเพียงบรรดาผู้ที่ฟังเท่านั้นและบรรดาผู้ที่ตายนั้นอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพแล้วพวกเขาก็จะถูกนำกลับไปยังพระองค์ |
37. |
และพวกเขากล่าวว่า ไฉนเล่าจึงไม่มีสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขาถูกให้ลงมาแก่เขาจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงสามารถที่จะให้สัญญาณหนึ่งลงมาแต่ทว่าส่วนมากพวกเขานั้นไม่รู้ |
38. |
และไม่มีสัตว์ใดๆ ในแผ่นดิน และไม่มีสัตว์ปีกใดๆที่บินด้วยสองปีกของมันนอกจากประหนึ่งเป็นประชาชาติเยี่ยงพวกเจ้านั่นเองเรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ แล้วยังพระเจ้าของพวกเขานั้นพวกเขาจะถูกนำไปชุมนุม |
39. |
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานั้น คือผู้ที่หูหนวกและเป็นใบ้ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืด ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะทรงให้เขาหลงทางไปและผู้ใดที่พระองค์ประสงค์ ก็จะทรงให้เขาอยู่บนทางอันเที่ยงตรง |
40. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ?หากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่าน หรือวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกท่านอื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง |
41. |
มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอแล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือหากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น |
42. |
และแท้จริงเราได้ส่งไปยังประชาชาติก่อนหน้าเจ้าแล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขาด้วยความแร้นแค้นและการเจ็บป่วย เพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม |
43. |
แล้วไฉนเล่า พวกเขาจึงไม่นอบน้อม เมื่อการลงโทษของเราได้มายังพวกเขาแต่ทว่าหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างและชัยฏอนก็ได้ให้เป็นที่สวยงามแก่พวกเขาด้วยในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน |
44. |
ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึกในสิ่งนั้นเราก็เปิดให้แก่พวกเขาซึ่งบรรดาประตูของทุกสิ่งจนกระทั่งเมื่อพวกเขาระเริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับ เราก็ลงโทษพวกเขาโดยกระทันหันแล้วทันใดนั้นพวกเขาก็หมดหวัง |
45. |
แล้วได้ถูกตัดขาด จนคนสุดท้ายของกลุ่มชนที่อธรรมและการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก |
46. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ? หากอัลลอฮ์ทรงเอาหูของพวกท่านและตาของพวกท่านไป และได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกท่านด้วยแล้วใครเล่าคือผู้ซึ่งได้รับการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะนำมันมาให้แก่พวกท่านได้จงดูเถิดว่าอย่างไรเล่าที่เราแจกแจงโองการทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็ยังหันเหไปได้ |
47. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่ดอกหรือว่าหากการลงโทษของอัลลอฮ์มายังพวกท่านโดยกระทันหันก็ดี หรือโดยเปิดเผยก็ดีนั้นจะไม่มีใครถูกทำลาย นอกจากกลุ่มชนผู้อธรรมเท่านั้น |
48. |
และเราจะไม่ส่งบรรดาร่อซู้ลมา นอกจากในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือนเท่านั้นดังนั้นผู้ใดที่ศรัทธาและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ |
49. |
และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น การลงโทษจะประสบแก่พวกเขาเนื่องจากการที่พวกเขาละเมิด |
50. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่าที่ฉันมีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ์ และทั้งฉันก็ไม่รู้สิ่งเร้นลับและฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันคือมะลัก ฉันจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันเท่านั้น จงกล่าวเถิดคนตาบอดกับคนตาดีนั้นจะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญดอกหรือ? |
51. |
และเจ้าจงตักเตือนด้วยอัลกุรอานแก่บรรดาผู้เกรงกลัวว่าพวกเขาจะถูกนำไปชุมนุมยังพระเจ้าของพวกเขาโดยที่อื่นจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใดสำหรับพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง |
52. |
เจ้าจงอย่าขับไล่บรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขา ทั้งในเวลาเช้าและเย็นโดยปรารถนาความโปรดปรานจากพระองค์ ไม่เป็นภัยแก่เจ้าแต่อย่างใด ในการชำระพวกเขาและก็ไม่เป็นภัยแก่พวกเขาแต่อย่างใด จากการชำระเจ้าแล้วเหตุใดเจ้าจึงจะขับไล่พวกเขา? (ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว)เจ้าก็จะกลายเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรม |
53. |
และในทำนองนั้นเราได้ทดสอบบางคนของพวกเขาด้วยอีกบางคน เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่าชนเหล่านี้กระนั้นหรือที่อัลลอฮ์ทรงกรุณาแก่พวกเขา ในระหว่างพวกเราอัลลอฮ์นั้นมิใช่เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่กตัญญูดอกหรือ? |
54. |
และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของเราได้มาหาเจ้า (มุฮัมมัด)ก็จงกล่าวเถิดว่าขอความปลอดภัยจงมีแต่พวกท่านเถิดพระเจ้าของพวกเจ้าได้กำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ว่าผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่วโดยไม่รู้แล้วเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้นและปรับปรุงแก้ไขแล้วแท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา |
55. |
และในทำนองนั้นเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายและเพื่อที่วิถีทางของผู้กระทำผิดจะได้ประจักษ์ชัด |
56. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพสักการะบรรดาผู้ที่พวกท่านวิงวอนกันอยู่ อื่นจากอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิดฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นแน่นอนฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ |
57. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดเจน จากพระเจ้าของฉันในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็ปฏิเสธหลักฐานนั้นที่ฉันนั้นไม่มีสิ่งที่พวกเจ้าเร่งรีบกันดอกแท้จริงการชี้ขาดนั้นมิใช่สิทธิของใครอื่น นอกจากเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นโดยที่พระองค์จะทรงแจ้งความจริง และพระองค์เป็นผู้ที่เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ชี้ขาด |
58. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากที่ฉันมีสิ่ง (อำนาจ) ที่พวกเจ้าเร่งรีบกันแล้วแน่นอนกิจการทั้งหลายก็ถูกชี้ขาดระหว่างฉันกับพวกท่านแล้วและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อผู้อธรรมทั้งหลาย |
59. |
และที่พระองค์นั้นมีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับ โดยที่ไม่มีใครรู้กุญแจเหล่านั้นนอกจากพระองค์เท่านั้น และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และในทะเลและไม่มีใบไม้ใด ร่วงหล่นลงนอกจากพระองค์จะทรงรู้มันและไม่มีเมล็ดพืชใดซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน และไม่มีสิ่งที่อ่อนนุ่มใดและสิ่งที่แห้งใด นอกจากจะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง |
60. |
และพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตาย ในเวลากลางคืนและทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำขึ้นในเวลากลางวันแล้วก็ทรงให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพในเวลานั้นเพื่อว่าเวลาแห่งอายุที่ถูกกำหนดไว้นั้นจะได้ถูกใช้ให้หมดไปแล้วพระองค์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าแล้วพระองค์จะทรงบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน |
61. |
และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์และทรงส่งบรรดาผู้บันทึกความดีและความชั่วมายังพวกเจ้าด้วยจนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนใดในพวกเจ้าแล้ว บรรดาทูตของเราก็จะรับชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาจะไม่ทำให้บกพร่อง |
62. |
แล้วพวกเขาก็ถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ผู้เป็นนายอันแท้จริงของพวกเรา พึงรู้เถิดว่าการชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้นและพระองค์เป็นผู้ที่รวดเร็วยิ่งในหมู่ผู้ชำระทั้งหลาย |
63. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ใครเล่า จะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบกและทางทะเล โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม และแผ่วเบาว่าถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้วแน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กคัญญูรู้คุณ |
64. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า อัลลอฮ์จะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมันและจากความทุกข์ยากทุกอย่างด้วย แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก (แก่พระองค์) |
65. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คือผู้ทรงสามารถที่จะส่งการลงโทษมายังพวกท่านจากเบื้องบนของพวกท่านหรือจากใต้เท้าของพวกท่านหรือ ให้พวกท่านปนเปกันโดยมีหลายพวกและให้บางส่วนของพวกท่านลิ้มรสซึ่งการรุกรานของอีกบางส่วน จงดูเถิด (มุฮัมมัด) ว่าเรากำลังแจกแจงโองการทั้งหลายอยู่อย่างไร? เพื่อว่าพวกเขาจะได้เข้าใจ |
66. |
และกลุ่มชนของเจ้านั้นได้ปฏิเสธอัลกุรอาน ทั้งๆที่อัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรมจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันมิใช่ผู้พิทักษ์พวกท่านดอก |
67. |
สำหรับแต่ละข่าวคราวนั้น ย่อมมีเวลาที่เกิดขึ้น และพวกเจ้าจะได้รู้ |
68. |
และเมื่อเจ้าเห็นบรรดาผู้ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในบรรดาโองการของเราแล้วก็จงออกห่างจากพวกเขาเสีย จนกว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่นจากนั้นและถ้าชัยฏอนทำให้เจ้าลืมแล้ว ก็จงอย่านั่งรวมกับพวกที่อธรรมเหล่านั้นต่อไปหลังจากที่มีการนึกขึ้นได้ |
69. |
และไม่เป็นภัยแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงแต่อย่างใดจากการชำระพวกเขาแต่ทว่าเป็นการตักเตือน (แก่พวกเขา) เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง |
70. |
และเจ้าจงปล่อยเสีย ซึ่งบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นของเล่นและสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขาและเจ้าจงเตือนด้วยอัลกุรอาน การที่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด จะถูกสังกัดอยู่กับสิ่งที่ชีวิตได้ขวนขวายไว้ โดยที่อื่นจากอัลลอฮ์แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดและไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮ์คนใดสำหรับชีวิตนั้นและถ้าชีวิตนั้นจะไถ่ถอนด้วยสิ่งไถ่ถอนทุกอย่าง มันก็จะไม่ถูกรับจากชีวิตนั้นชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้ถูกให้สังกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ซึ่งพวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มจากน้ำที่ร้อนจัด และจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขาปฏิเสธการศรัทธา |
71. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราจะวิงวอน ขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณแก่เราได้และไม่ให้โทษแก่เราได้อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ?และเราก็จะถูกให้หันส้นเท้าของเรากลับ หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเราแล้วดั่งผู้ที่พวกชัยฏอนได้ทำให้เขาหลงไปในแผ่นดินในสภาพที่งงงวยซึ่งเขามีเพื่อนๆเรียกร้องเขาให้ไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้องว่า จงมาหาพวกเราเถิดจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้นคือคำแนะนำและพวกเราได้รับบัญชาให้เราสวามิภักดิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น |
72. |
และ (พวกเราได้รับบัญชา) ว่า จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจงยำเกรงพระองค์เถิดและพระองค์คือผู้ที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุมยังพระองค์ |
73. |
และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินด้วยความจริงและวันที่พระองค์ตรัสว่าเจ้าจงเป็นขึ้น แล้วมันก็จะเป็นขึ้นพระดำรัสของพระองค์คือความจริง และอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นของพระองค์ในวันที่จะถูกเป่าเข้าไปในแตร พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ และในสิ่งเปิดเผยและพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน |
74. |
และจงรำลึกขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขา คืออาซัรว่าท่านจะยึดถือเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะกระนั้นหรือ?แท้จริงฉันเห็นว่าท่านและกลุ่มชนของท่านนั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง |
75. |
และในทำนองนั้นแหละ เราจะให้อิบรอฮีมเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและเพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เชื่อมั่นทั้งหลาย |
76. |
ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง เขากล่าวว่า นี้คือพระเจ้าของฉันแต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป |
77. |
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉันแต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้วแน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด |
78. |
ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เขาก็กล่าวว่า นี้แหละคือพระเจ้าของฉันนี้แหละใหญ่กว่า แต่เมื่อมันได้ลับไป เขาก็กล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน!แท้จริงฉันขอปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์) |
79. |
แท้จริงข้าพระองค์ขอผินหน้าของข้าพระองค์แด่ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินในฐานะผู้ใฝ่หาความจริง ผู้สวามิภักดิ์และข้าพระองค์มิใช่คนหนึ่งในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น |
80. |
และกลุ่มชนของเขาได้โต้เถียงเขา เขาได้กล่าวว่าพวกท่านจะโต้เถียงฉันในเรื่องอัลลอฮ์กระนั้นหรือ?และแท้จริงพระองค์ได้ทรงแนะนำฉันแล้วและฉันจะไม่กลัวสิ่งที่พวกท่านให้สิ่งนั้นเป็นภาคีขึ้นนอกจากพระเจ้าของข้าพระองค์จะทรงประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้นพระเจ้าของฉันนั้นมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่ง แล้วพวกเจ้าไม่รำลึกกันหรือ? |
81. |
และอย่างไรเล่าที่ฉันจะกลัวสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้นโดยที่พวกท่านไม่กลัวที่พวกท่านได้ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงให้มีหลักฐานใดๆ ลงมาแก่พวกเจ้าในสิ่งนั้นแล้วฝ่ายใดเล่าในสองฝ่ายนั้น เป็นฝ่ายที่สมควรต่อความปลอดภัยยิ่งกว่า หากพวกท่านรู้ |
82. |
บรรดาผู้ที่ศรัทธา โดยที่มิได้ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับการอธรรมนั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับความปลอดภัย และพวกเขาคือผู้ที่รับเอาคำแนะนำไว้ |
83. |
และนั่นคือ หลักฐานของเราที่ได้ให้มันแก่อิบรอฮีม โดยมีฐานะเหนือกลุ่มชนของเขาเราจะยกขึ้นหลายขั้น ผู้ที่เราประสงค์ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้ |
84. |
และเราได้ให้แก่เขา ซึ่งอิสหาก และยะอ์กูบ ทั้งหมดนั้นเราได้แนะนำแล้วและนูฮ์เราก็ได้แนะนำแล้วแต่ก่อนโน้น และจากลูกหลานของเขานั้น คือ ดาวูดและสุลัยมาน และอัยยูบและยูซุฟและมูซา และฮารูน และในทำนองนั้นแหละเราจะตอบแทนแก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย |
85. |
และซะกะรียา และยะฮ์ยา และอีซา และอิลยาส ทุกคนนั้นอยู่ในหมู่คนดี |
86. |
และอิสมาอีล และอัล-ยะสะอ์ และยูนุสและลูฏ แต่ละคนนั้นเราได้ให้ดีเด่นเหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย |
87. |
และ (เราได้ให้ดีเด่นอีก) ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดาของพวกเขาและลูกหลานของพวกเขาและพี่น้องของพวกเขา และเราได้เลือกพวกเขาและได้แนะนำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรง |
88. |
นั่นแหละคือ คำแนะนำของอัลลอฮ์โดยที่พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยคำแนะนำนั้น และหากพวกเขาได้ให้มีภาคีขึ้นแล้วแน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมา ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา |
89. |
ชนเหล่านี้คือ ผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา และให้คำตัดสินและให้การเป็นนบีด้วย แต่ถ้าชนเหล่านี้ ปฏิเสธศรัทธาต่อมันแน่นอนเราได้มอบมันไว้แล้วแก่กลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขามิใช่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน |
90. |
ชนเหล่านี้ คือผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำไว้ ดังนั้นด้วยคำแนะนำของพวกเขาเจ้าจงเจริญรอยตามเถิด จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่ขอต่อพวกท่านซึ่งค่าจ้างใดๆ ในการใช้ให้ศรัทธาต่อ อัลกุรอาน อัลกุรอานนั้นมิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น |
91. |
และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่อัลลอฮ์ตามควรแก่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์จงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานสิ่งใดแก่ปุถุชนใด จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ผู้ใดเล่าที่ได้ทรงประทานมา ซึ่งคัมภีร์ที่มูซานำมาเป็นแสงสว่างและคำแนะนำแก่มนุษย์ ซึ่งพวกท่านได้บันทึกไวในกระดาษโดยที่จะได้เปิดเผยมันและก็ปกปิดมันไว้มากมาย และพวกเจ้าถูกสอนในสิ่งที่ทั้งพวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้ามิได้รู้มาก่อน จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า (ผู้ทรงประทาน)คืออัลลอฮ์ นั่นเอง แล้วจงปล่อยพวกเขาสนุกสนานกันในการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาต่อไป |
92. |
นี้คือ คัมภีร์ที่เราได้ให้ลงมาอันเป็นคัมภีร์ที่มีความจำเริญที่ยืนยันสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นี้และเพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนแม่แห่งเมืองทั้งหลาย และผู้ที่อยู่รอบๆแม่เมืองนั้นและบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น พวกเขาย่อมศรัทธาต่อคัมภีร์นี้และขณะเดียวกันพวกเขาก็จะรักษาการละหมาดของพวกเขา |
93. |
และใครเล่าคือ ผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์หรือกล่าวว่าได้ถูกประทานโองการแก่ฉันทั้งๆที่มิได้มีสิ่งใดถูกประทานให้เป็นโองการแก่เขา และผู้ที่กล่าวว่าฉันจะให้ลงมาเช่นเดียวกับสิ่งที่อัลลอฮ์ให้ลงมา และหากเจ้าจะได้เห็นขณะที่บรรดาผู้อธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย และมลาอิกะฮ์ กำลังแบมือของพวกเขา(โดยกล่าวว่า) จงให้ชีวิตของพวกท่านออกมา วันนี้พวกท่านจะได้รับการตอบแทนซึ่งโทษแห่งการต่ำต้อยเนื่องจากที่พวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮ์โดยปราศจากความจริงและเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงยะโสต่อบรรดาโองการของพระองค์ |
94. |
และแน่นอนพวกเจ้าได้มายังเราโดยลำพังเยี่ยงที่เราได้บังเกิดพวกเจ้ามาในครั้งแรกและพวกเจ้าได้ละทิ้งสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังของพวกเจ้าและเราไม่เห็นอยู่กับพวกเจ้าบรรดาผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้อ้างไว้ว่าพวกเขาเป็นผู้มีหุ้นส่วนในพวกเจ้า แน่นอนได้ขาดเป็นเสี่ยงๆแล้วในระหว่างพวกเจ้าและได้หายจากพวกเจ้าสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างไว้ |
95. |
แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัมปริออกทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตและทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต นั่นแหละคืออัลลอฮ์แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไปได้ |
96. |
ผู้ทรงเผยอรุโณทัย และทรงให้กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนและทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นการคำนวณนั่นคือการกำหนดให้มีขึ้นของผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปริชาญาณ |
97. |
และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งดวงดาวทั้งหลายเพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยดวงดาวเหล่านั้น ทั้งในความมืดแห่งทางบกและทางทะเลแน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รู้ |
98. |
และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากชีวิตหนึ่ง โดยให้มีที่พักและให้มีที่ฝาก แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่เข้าใจ |
99. |
และพระองค์นั้นคือ ผู้ที่ทรงให้น้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นซึ่งพันธุ์พืชของทุกสิ่งและเราได้ให้ออกจากพันธุ์พืชนั้น ซึ่งสิ่งที่มีสีเขียวจากสิ่งที่มีสีเขียวนั้นเราได้ให้ออกมาซึ่งเมล็ดที่ซ้อนตัวกันอยู่และจากต้นอินทผาลัมนั้น จั่นของมันเป็นหลายต่ำ (และทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นอีก)ซึ่งสวนองุ่นและซัยตูน และทับทิม โดยมีสภาพคล้ายกัน และไม่คล้ายกัน พวกเจ้าจงมองดูผลของมัน เมื่อมันเริ่มออกผล และเมื่อมันแก่สุก แท้จริงในสิ่งเหล่านั้นแน่นอนมีสัญญาณมากมาย สำหรับหมู่ชน ผู้ศรัทธา |
100. |
และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์ ซึ่งบรรรดาภาคีแห่งญินทั้งๆที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา แต่พวกเขาอุปโลกษ์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชายและบรรดาบุตรหญิงโดยปราศจากความรู้พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะกัน |
101. |
พระผู้ทรงประดิษฐ์ บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินอย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง?และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างด้วย |
102. |
นั่นแหละคืออัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิดและพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง |
103. |
สายตาทั้งหลายย่อมไม่ถึงพระองค์ แต่พระองค์ทรงถึงสายตาเหล่านั้นและพระองค์ก็คือผู้ทีรงปรานี ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน |
104. |
แท้จริงบรรดาหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้านั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นผู้ใดมองเห็น ก็ย่อมได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดมองไม่เห็น ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตัวของเขาและฉันมิใช่เป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเจ้า |
105. |
และในทำนองเดียวกัน เราจะแจกแจงโองการทั้งหลายไว้ และเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า เจ้า(มุฮัมมัด) ได้ศึกษามา และเพื่อเราจะได้ให้แจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ |
106. |
จงปฏิบัติสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิดไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้นและเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ให้มีภาคี เถิด |
107. |
และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว พวกเขาก็ย่อมมิให้มีภาคีขึ้นและเราก็มิได้ให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเขา และเจ้าก็มิใช่เป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาพวกเขาด้วย |
108. |
และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ อื่นจากอัลลอฮ์แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด โดยปราศจากความรู้ ในทำนองนั้นแหละเราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ ซึ่งการงานของพวกเขา และยังพระเจ้าของพวกเขานั้นคือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน |
109. |
และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์หนักแน่นอย่างยิ่งว่า ถ้าหากมีสัญญาหนึ่ง มายังพวกเขาแน่นอนพวกเขาจะศรัทธา เนื่องด้วยสัญญาณนั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงสัญญาณทั้งหลายนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้นซึ่งการงานของพวกเขาและยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขาแล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะทำกัน |
110. |
และเราจะพลิกหัวใจของพวกเขา และตาชองพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเขามิได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น ในครั้งแรกและเราจะปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในความละเมิดของพวกเขาต่อไป |
111. |
และแม้ว่าเราได้ให้มลาอิกะฮ์ลงมายังพวกเขา และบรรดาคนตายได้พูดกับพวกเขาและเราได้รวบรวมทุกสิ่งไว้เบื้องหน้าพวกเขา ก็ใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธากันนอกจากอัลลอฮ์จะทรงประสงค์เท่านั้น แต่ทว่าส่วนมากในหมู่พวกเขานั้นไม่รู้ |
112. |
และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วนซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ ขึ้นเถิด |
113. |
และเพื่อที่หัวใจของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกจะได้โน้มเอียงไปสู่คำพูดที่ตกแต่งนั้นและเพื่อที่พวกเขาจะได้พึงพอใจในคำพูดนั้น และเพื่อที่พวกเขาจะได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้กระทำกันอยู่ |
114. |
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาด ทั้ง ๆที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด? และบรรดาผุ้ที่เรา ได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา นั้น พวกเขารู้ดีว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้า ด้วยความเป็นจริงเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด |
115. |
และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้วซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้ |
116. |
และหากเจ้าเชื่อฟังสั่นมากของผู้คนในแผ่นดินแล้วพวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮ์ไปพวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอา เองและพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น |
117. |
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรู้ยิ่งต่อผู้ที่กำลังหลงไปจากท่ายของพระองค์และเป็นผู้รู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่รับเอาคำแนะนำ |
118. |
ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่ง ที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน เถิดหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์ |
119. |
แลมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ?ที่พวกเข้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวบนมัน ทั้งๆที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสิ่ง ที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้านอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการ มันเท่านั้นและแท้จริงมีผู้คนมากมายทำให้ผู้อื่นหลงผิดไปด้วยความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรอบรู้ยิ่งต่อผู้ละเมิดทั้งหลาย |
120. |
และพวกเจ้าจงสละซึ่งบาปที่เปิดเผยและบาปที่ปกปิดแท้จริงบรรดาผู้ที่ขวนขวายกระทำสิ่งที่เป็นบาปกันอยู่นั้น พวกเขาจะได้รับการตอบแทนตามที่พวกเขากระทำกัน |
121. |
และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮ์มิได้ถูกกล่าวบน มันและแท้จริงมัน เป็นการละเมิดแน่ๆและแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหาย ของมัน เพื่อพวกเขาจะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขาแน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น |
122. |
และผู้ที่ตายแล้ว แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น และเราได้ให้แสงสว่างแก่เขาซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยที่มิใช่เป็นผู้ที่จะออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ? ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงาม แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่ |
123. |
และในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้มีขึ้นในแต่ละเมือง ซึ่งบรรดาบุคคลสำคัญ ๆเป็นผู้กระทำความผิดแห่งเมืองนั้นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้วางอุบายหลอกลวงในเมืองนั้นและพวกเขาจะไม่วางอุบายหลอกลวง นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาหารู้สึกไม่ |
124. |
และเมื่อได้มีโองการใดมายังพวกเขาพวกเขาก็กล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาเป็นอันขาดจนกว่าเราจะได้รับ เยี่ยงสิ่งที่บรรดาร่อซู้ลของอัลลอฮ์ได้รับมาแล้วอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง ณ ที่ ที่พระองค์จะทรงให้มีสารของพระองค์ขึ้นบรรดาความต่ำต้อยและการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮ์นั้นจะประสบแก่บรรดาผู้ที่กระทำความผิด เนื่องจากการที่พวกเขาวางอุบายหลอกลวงกัน |
125. |
ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงต้องการจะแนะนำเขาก็จะทรงให้หัวอกของเขาเบิกบาน เพื่ออิสลามและผู้ใดที่พระองค์ทรงต้องการจะปล่อยให้เขาหลงทาง ก็จะทรงให้ทรวงอกของพวกเขาแคบอึดอัด ประหนึ่งว่าเขากำลังขึ้นไปยังฟากฟ้าในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงให้มีความโสมม แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา |
126. |
และนี่แหละคือทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยมีสภาพอันเที่ยงตรงแท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายไว้ แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รำลึก |
127. |
สำหรับพวกเขา นั้น คือนิวาสแห่งความปลอดภัย ในพระผู้เป็นเจ้าจองพวกเขาแลบะขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นผู้คึ้มครองพวกเขาด้วยเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากระทำ |
128. |
และวันที่พระองค์ตจะทรงชุมชนพวกเขาไว้ทั้งหมด (โดยตรัสขึ้นว่า) หมู่ญิณทั้งหลาย !แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมายและบรรดาสหายของพวกเขาจนหมู่มนุษย์ได้กล่วว่าข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์บางส่สนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วนและพวกข้าพระองค์ก็ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลาของพวกข้าพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคอที่อยู่ของพวกเจ้าโดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาลนอกจากสิ่ง ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้นแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้ |
129. |
ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บางส่วนของผู้อธรรมทั้งหลายเป็นสหายกับอีกบางส่วนเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาขวนขวายกัน |
130. |
หมู่ญินและมนุษย์ทั้งหลาย! บรรดาร่อซู้ลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าดอกหรือ?โดยที่พวกเขาจะบอกเล่าแก่พวกเจ้า ซึ่งบรรดาโองการของข้า และเตือนพวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของข้า และเพื่อนพวกเจ้า ซึ่งการพบกับวัน ของพวกเจ้านี้พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ขอยืนยันแก่ตัวของพวกเข้าพระองค์เองและชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขาและพวกเขาก็ได้ยืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองว่าแท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา |
131. |
นั่นก็เพราะว่า พระเจ้าของเจ้านั้นมิเคยเป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายด้วยความอธรรมโดยที่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่รู้อะไร |
132. |
และสำหรับแต่ละคนนั้นมีหลายระดังชั้นเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้และพระเจ้าของเจ้านั้นมิใช่เผลอไผลในสื่งที่พวกเขากระทำกัน |
133. |
และพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาหากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดสิ้นไป และจะทรงให้สืบแทนจากพวกเจ้าตามที่พระองค์ทรงประสงค์ดังที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากลูหลานของกลุ่มชนอื่น |
134. |
แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้ นั้นจะมาแน่นอนและพวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้ |
135. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ประชาชาติของฉันทั้งหลาย! จงปฏิบัติตามสภาพของพวกท่านเถิด แท้จริงฉันก็จะเป็นผู้ปฏิบัติด้วย และพวกท่านจะได้รู้ว่าใครกันบั้นปลาย แห่งปรโลกจะเป็นของเขา แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ |
136. |
และพวกเขาได้ให้มีส่วนหนึ่งสำหรับอัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้บังเกิดขึ้นอันได้แก่พืชและปศุสัตว์ โดยที่พวกเขากล่าวว่านี้สำหรับอัลลอฮ์ตามการอ้างของพวกเขา และนี้สำหรับบรรดาภาคีของพวกเราแล้วส่วนที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขานั้นก็จะไม่ถึงอัลลอฮ์แต่ส่วนที่เป็นของอัลลอฮ์นั้นจะถึงบรรดาภาคีของพวกเขา ช่างชั่วช้าแท้ ๆสิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน |
137. |
และในทำนองนั้นแหละ บรรดาภาคีของพวกเขา นั้นได้ทำให้สวยงามแก่จำวนมากมายในหมู่มุชริกีน ซึ่งการฆ่าลุก ๆของพวกเขาเพื่อที่จะทำลายพวกเขา แลเพื่อที่จะให้สับสนแก่พวกเขา ซึ่งศาสนา ของพวกเขาและแม้ว่าอัลลอฮ์ประสงค์ แล้วพวกเขาย่อมไม่กระทำมันเจ้า จงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จกันเถิด |
138. |
และพวกเขากล่าว่า นี้คือปศุสัตว์ปละพืชผลที่หวงห้ามไว้ซึ่งไม่มีใครจะบริโภคมันได้นอกจากผู้ที่เราประสงค์ เท่านั้น ด้วยการอ้างของพวกเขาและปศุสัตว์ที่หลังของมันถูกห้าม และปศุสัตว์ที่พวกเขาจะไม่กล่าวพระนามอัลลอฮ์บนมัน ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ ความเท็จแก่พระองค์ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนลบงโทษพวกเขาใฝนสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้น |
139. |
และพวกเขากล่าวว่า สิ่งที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์ เหล่านั้นเฉพาะบรรดาผู้ชายของเราเท่านั้น และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแก่บรรดาภรรยาของเราและหากว่ามัน ตาย พวกเขา พวกเขา ก็เป็นผู้มีหุ้นส่วนในมันและพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา ในการที่เขาได้กำหนดลักษณะไว้แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้ |
140. |
แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้เป็นปัจจัยบยังชีพแก่พวกเขาทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปแลพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ |
141. |
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้มีขึ้น ซึ่งสวนทั้งหลาย ทั้งที่ถูกให้มีร้านขึ้นและไม่ถูกให้มีร้านขึ้น และต้นอินทผาลัม และพืชโดยที่ผลของมันต่างๆ กันและต้นซัยตูน และต้นทับทิมโดยที่มีความละม้ายคล้ายกัน และไม่ละม้ายคล้ายกันจงบริโภคจากผลของมันเถิดเมื่ออกผลและจงจ่ายส่วนอันเป็นสิทธิ ในมันด้วยในวันแห่งการเก็บเกี่ยวมัน และจงอย่าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย |
142. |
และหลังจากหมู่ปศุสัตว์นั้น (ได้ทรงให้มี) ที่ใช้บรรทุก และเชือดจงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้เาถิดและจงอย่าตามก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้งของพวกเจ้า |
143. |
และ (ได้ทรงให้มี) สัตว์แปดตัวเป็นคู่ ๆ คือจากแกะสองตัว และจากแพะสองตัวจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัว นั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม หรือว่าตัวเมียสองตัวนั้น หรือว่าทีมดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง หากพวกท่านพูดจริง |
144. |
และจากอูฐสองตัว และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัวนั้นกระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้งสองนั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้ หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์เพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด โดยไม่มีความรู้แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม |
145. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้นมีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเองหรือเลือดที่ไหลออก หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิดซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขันโดยมิใช่เป็นผู้แสวงหา และมิใช่ผู้ละเมิด แล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา |
146. |
และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกันและจากวัวและแกะนั้น เราได้ห้ามแก่พวกเขา ซึ่งไขมันของมัน นอกจากไขมันที่หลังของมันหรือลำไส้ได้อุ้มไว้ หรือที่ปะปนอยู่ที่กระดูกนั่นแหละ เราได้ลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้พูดจริง |
147. |
หากพวกเขาปฏิเสธเจ้าก็จงกล่าวเถิดว่าพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวางและการลงโทษของพระองค์นั้นจะไม่ถูกโต้กลับให้พ้นจากกลุ่มชนที่กระทำความผิด |
148. |
บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นนั้นจะกล่าวว่าหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ แล้วไซร้พวกเราก็ย่อมไม่ให้มีภาคีขึ้น และทั้งบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วยและพวกเราก็ย่อมไม่ให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้ามในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ได้มุสาแล้วจนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดกระนั้นหรือ ฉะนั้นพวกเจ้าจงจะต้องนำมันออกมาให้แก่เราพวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากการคาดคิดเอาเท่านั้น และพวกท่านไม่มีอื่นใดนอกจากจะกล่าวเท็จเท่านั้น |
149. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึงหากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด |
150. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงนำมาซึ่งบรรดาพยานของพวกท่านที่จะยืนว่าแท้จริงฮัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสิ่งนี้ แล้วถ้าพวกเขา (เป็นพยาน) ยืนยันเจ้าก็อย่ายืนยันกับพวกเขาด้วยและอย่าตามความใคร่ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปกโลกและขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้สิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระเจ้าของพวกเขา |
151. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าท่านทั้งหลายจงมากันเถิดฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ห้ามไว้แก่พวกท่านคือพวกเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจริง ๆ และอย่าฆ่าลูกของพวกเจ้าเนื่องจากความจนเราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และแก่พวกเขาและจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้า ทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้นนั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา |
152. |
และจงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้า นอกจากด้วยวิถีทางที่ดียิ่งจนกว่าเขาจะบรรลุวัยฉกรรจ์และจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งด้วยความเที่ยงตรงเราจะไม่บังคับชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นและเมื่อพวกเจ้าพูด ก็จงยุติธรรมและแม้ว่าเขา จะเป็นญาติที่ใกล้ชิดก็ตามและต่อสัญญาของอัลลอฮ์นั้นก็จงปฏิบัติตามให้ครบถ้วยนั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก |
153. |
และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิดและอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง |
154. |
แล้วเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาทั้งนี้เป็นการครบถ้วน แก่ผู้ที่กระทำดีและเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อเป็นการแนะนำ และเป็นการเอ็นดูเมตตาเพื่อว่าพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อการพบกับพระเจ้าของพวกเขา |
155. |
และนี้แหละคือคัมภีร์ ที่มีความจำเริญซึ่งเราได้ให้คัมภีร์ลงมายังเจ้าจงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด และจงยำเกรง เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา |
156. |
(มิเช่นนั้น) พวกเจ้าจะกล่าวว่า แท้จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานลงมาให้แก่สองพวกเท่านั้นก่อนหน้าพวกข้าพระองค์และแท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องในการอ่านของพวกเขา |
157. |
หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้นหากได้มีคัมภีร์ถูกประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์แล้วไซร้แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ในคำแนะนำดียิ่งกว่าพวกเขาแท้จริงนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้วจากพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้งและคำแนะนำและการเอ็นดูเมตตาดังนั้นใครเล่าคือผู้อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติบรรดาโองการของอัลลอฮ์และผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้นเราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ผินหลังให้แก่โองการทั้งหลายของเราซึ่งการลงโทษอันชั่วช้า เนื่องจากการที่พวกเขาผินหลังให้ |
158. |
พวกเขามิได้รอคอยอะไร นอกจากการที่มลาอิกะฮ์จะมายังพวกเขาหรือการที่พระเจ้าของเจ้าจะมา หรือการที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้าจะมาวันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆไว้ในการศรัทธาของเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงรอกันเถิดแท้จริงพวกเราก็เป็นผู้รอคอย |
159. |
แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า(มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้นย่อมไปสู่อัลลอฮ์แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน |
160. |
ผู้ใดที่นำความดีมา เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้นและผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้นและพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม |
161. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันนั้นพระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรงคือศาสนที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง และเขา (อิบรอฮีม)ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น |
162. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉันและการมีชีวิตของฉันและการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น |
163. |
ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย |
164. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาพระเจ้า? ทั้งๆ ที่พระองค์นั้นเป็นพระเจ้าของทุกสิ่ง และแต่ละชีวิตนั้นจะไม่แสวงหาสิ่งใดนอกจากจะเป็นภาระแก่ชีวิตนั้นเองเท่านั้นและไม่มีผู้แบกภาระคนใดจะแบกภาระของผู้อื่นได้แล้วยังพระเจ้าของพวกเจ้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน |
165. |
และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดินและได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้นเพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้าแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา |