3. อาละอิมรอน

1.

อะลิฟ ลาม มีม

2.

อัลลอฮ์นั้นคือ ไม่มีผู้ที่เป็นที่เคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้นผู้ทรงมีชีวิตอยู่เสมอ (ไม่มีกาลอวสาน) ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลายเป็นเนืองนิจ(ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและทรงบังเกิด)

3.

พระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์นั้น (อัลกุรอาน) ลงมาแก่เจ้าเป็นครั้งคราวพร้อมด้วยความจริง เพื่อยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้า (คัมภีร์อัตเตารอตและอัล-อินญีลที่ถูกประทานลงมาก่อนอัลกุรอาน) คัมภีร์นั้น และได้ทรงประทานอัตเตารอตและอัล-อินญีล

4.

(ให้มี) มาก่อน ในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และได้ประทานอัลฟุรกอนมาด้วยแท้จริงผู้ได้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์นั้น พวกเขาจาได้รับโทษอันรุนแรงและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงทำการลงโทษ

5.

แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินจะซ้อนเร้นพระองค์ไปได้และทั้งไม่มีในฟากฟ้าด้วย

6.

พระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกเจ้ามีรูปร่างขึ้นในมดลูกตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่สิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆนอกจากพระองค์เท่านั้นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ

7.

พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้าโดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโองการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน(เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือนๆกันโดยไม่ต้องตีความ)ซึ่งโองการเหล่านั้นคือรากฐานของคัมภีร์(เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศัทธาและในข้อปฏิบัติของมนุษย์และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย)และมีโองการอื่นๆอีกที่มีข้อความเป็นนัย (มีข้อความเป็นเชิงเปรียบเทียบอาจเข้าใจได้หลายทางผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้)ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีความเอนเอียงออกจากความจริงนั้นเขาาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย(เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ศรัทธาด้วยการตีความโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน)และเพื่อการแสวงหาการตีความในโองการเท่านั้น(คือเพื่อแสวงหาการตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการโดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮที่ข้อความชัดเจนหรือไม่)และไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น (มีพื้นฐานความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆของพระองค์ (ศิฟาต)และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวางด้วย)โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศัทธาต่อโองการนั่นทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้นและไม่มีใครที่จะได้รับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น

8.

โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา!โปรดอย่าให้หัวใจของพวกเราเอนเอียงออกจากความจริงเลยหลังจากที่พระองค์ได้ทรงแนะนำแก่พวกเราแล้วและโปรดได้ประทานความเอ็นดูเมตตาจากที่ที่พระองค์ให้แก่พวกเราด้วยเถิดแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงประทานให้อย่างมากมาย

9.

โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ชุมนุมมนุษย์ทั้งหลายในวันหนึ่งซี่งไม่มีการสงสัยใดๆในวันนั้น (หมายถึงวันกิยามะฮ์) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงผิดสัญญา

10.

แท้จริงผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธานั้น ทรัพย์สมบัติของพวกเขาและลูกๆของพวกเขานั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลยและชนเหล่านี้แหละคือเชื้อเพลิงแห่งไฟนรก

11.

เช่นเดียวกับสภาพความเคยชินของวงศ์วานอิสรออีลและบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดาโองการของเราแล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขา เพราะบาปกรรมของพวกเขาเองเละอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษอันรุนแรง

12.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า พวกท่านจะได้รับความปราชัย(แล้วพระองค์ก็ทรงให้คำประกาศของนบีมุฮัมมัดเป็นความจริงโดยให้ฝ่ายมุสลีมีนทำการฆ่า บะนีกุร็อยเซาะฮ ตระกูลหนึ่งของยิวเนื่องจากทุจริตในคำมั่นสัญญา และทำการบังคับให้ บะนีอันนะฎีร อีกตระกูลหนึ่งของยิวอพยพไปจากมะดีนะฮ) และ (ในวันปรโลก) พวกท่านจะถูกต้อนไปสู่ญะฮันนัมและเป็นที่นอนอันเลวร้ายยิ่ง

13.

แน่นอนได้มีสัญญาณหนึ่งปรากฎแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งอยู่ในสองฝ่ายที่เผญิชหน้ากันฝ่ายหนึ่งต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ (คือฝ่ายมุสลิมีน)และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (คือฝ่ายมุชริกีนมักกะฮ์) ซึ่งเห็นเขาเหล่านั้น(คือเห็นฝ่ายมุสลิมีน,กล่าวคือฝ่ายมุชริกีนเห็นไปว่าฝ่ายมุสลิมีนมีมากกว่าพวกเขาถึง2 เท่า ทั้งๆที่ฝ่ายมุสลิมีนมีน้อยกว่าพวกเขาเกือบสองเท่า คือมี 313 คนส่วนฝ่ายมุชริกีนมี 950 คน อันเป็นเหตุให้พวกเขาเสียขวัญ และแพ้ฝ่ายมุสลิมีนในการสู้รบกันครั้งนี้ฝ่ายมุชรีกีนถูกฆ่าตาย 70 คน และถูกจับเป็นเชลย 70 คนฝ่ายมุสลิมีนเสียชีวิต 14 คน) ด้วยตาตนเองเป็นสองเท่าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นจะทรงสนับสนุนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์แท้จริงในสิ่งที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้มีดวงตา ทั้งหลาย

14.

ได้ถูกทำให้สวยงาม (ลุ่มหลง)แก่มนุษย์ซึ่งความรักในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์อันได้แก่ผู้หญงและลูกชาย,ทองและเงินอันมากมายและม้าดีและปศุสัตว์ และไร่นานั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้นและอัลลอฮ์นั้นณ พระองค์ คือที่กลับอันสวยงาม

15.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าจะให้ฉันบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นไหม?คือผู้ที่บรรดาผู้ยำเกรงนั้น ณพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา-พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื่องล่างโดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและจะได้รับบรรดาคู่ครองที่บริสุทธิ์และความพึงใจจากอัลลอฮ์ด้วย และอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นบรรดาบ่าวทั้งหลาย

16.

คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่าโอ้พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์แท้จริงของพวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้วโปรดทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิดซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และโปรดได้ทรงป้องกันพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากไฟนรกด้วย

17.

บรรดาผู้ที่อดทน และบรรดาผู้ที่พูดจริง และบรรดาผู้ที่ภักดีและบรรดาผู้ที่บริจาคและบรรดาผู้ที่ขออภัยโทษในยามใกล้รุ่ง (คือก่อนฟะญัร์ขึ้นหมายถึงผู้ที่สละความสุขในยามนั้น โดยลุกขึ้นละหมาด ตะฮัจญุดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์)

18.

อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆนอกจากพระองค์เท่านั้น และมลาอิกะฮ์และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้นก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆนอกจากพระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น

19.

แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์ นั้นคือ อัลอิสลาม (หมายถึงศาสนาแห่งการเชื่อฟังและปฏิบัติโดยปราศจากการขัดแย้ง) และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์(หมายถึงยิวและคริสต์) มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้มีความรู้(หมายถึงความรู้จากอัลกุรอาน ที่ท่านนบีนำมา) มายังพวกเขาเท่านั้นทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเองและผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ

20.

แล้วหากพวกเขาโต้แย้งว่า ก็จงกล่าวเถิดว่าฉันได้มอบใบหน้า (ร่างกาย)ของฉันแด่อัลลอฮ์แล้ว และผู้ที่ปฏิบัติตามฮฉัน (ก็มอบ)ด้วยและจงกล่าวเก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ และบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็น(คือพวกมุชรีกินมักกะฮ์) ว่า พวกท่านมอบ (ใบหน้าแด่อัลลอฮ์) แล้วหรือ?ถ้าหากพวกเขาได้มอบแล้วแน่นอนพวกเขาก็ได้รับแล้วซึ่งแนวทางอันถูกต้องและถ้าหากพวกเขาผินหลังให้แท้จริงหน้าที่ของเจ้านั้นเพียงการประกาศให้ทราบเท่านั้น(คือไม่มีหน้าที่บังคับให้ศรัทธา) และอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงเห็นป่วงบ่าวทั้งหลาย

21.

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (หมายถึงชาวยิว) ต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม และฆ่าบรรดาผู้ที่ใช้ให้มีความยุติธรรมจากหมู่ประชาชนนั้น (คือฆ่าประชาชนที่เรียกร้องให้มีความยุติธรรมจากหมู่ประชาชนนั้น (การแจ้งข่าวการลงโทษด้วยคำว่าข่าวดีนั้นเป็นการปรามที่รุนแรงยิ่งแก่ ผู้ที่ดื้อดัน) แก่พวกเขาเถิดด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ

22.

ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผลทั้งในโลกนี้และปรโลกและจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาเลย

23.

เจ้า (มุฮำมัด) มิได้มองดูบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนหนึ่งจากคัมภีร์(คือพวกยิวนั้นจดจำเพียงส่วนหนึ่งของคัมภีร์เตารอตเท่านั้นเพราะส่วนอื่นๆของคัมภีร์ได้สูญหายไปบ้าง และถูกบิดเบือนบ้าง)ดอกหรือ?โดยที่พวกเขาถูกเชิญชวนไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์ (หมายถึงคัมภีร์เตารอต)เพื่อคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขา (พวกผิดประเวณี)แล้วกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเขาก็ผินหลังให้และพวกเขาก็กำลังผินหลังให้อยู่

24.

นั่นก็เพราะพวกเขากล่าวว่า ไฟนรกนั้นจะไม่แตะต้องพวกเราเลยนอกจากบรรดาวันที่ถูกนับไว้ (คือเพียง 40 วันเท่านั้นอันเป็นระยะเวลาที่พวกเขาสักการะลูกวัว ทั้งนี้เป็นความเข้าใจผิดของพวกเขา)และสิ่งที่พวกเขากุขึ้นในศาสนาของพวกเขานั้น(คือกุขึ้นว่าพวกเขาเป็นพระบุตรของพระอัลลอฮ์ และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์)ได้หลอกลวงพวกเขาให้หลงเชื่อ

25.

แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเราได้ชุมนุมพวกเขาไว้สำหรับวันหนึ่ง(คือเป็นวันกิยามะฮ์อันเป็นวันฟื้นคืนชีพ) ซึ่งในวันนั้นไม่มีการสงสัยใดๆและแต่ละชีวิตจะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วนในสิ่งมีชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรม

26.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าข้าแต่อัลลอฮ์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง!พระองค์นั้นจะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์ ของพระองค์แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

27.

พระองค์ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวันและทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืนและทรงให้สิ่งมีชีวิต ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตและทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิตและทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณ

28.

ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นจงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุอ์มินและผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์(กล่าวคือถ้ามุอ์มินคนใดเอาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรรู้เห็นความลับต่างๆของมุสลีมีนแล้วเขาไม่ได้ตั้งอยู่ในศาสนาของอัลลอฮ์ แต่อย่างใด) นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน(ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริงๆเท่านั้นและอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป(ของพวกเจ้า)

29.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านปกปิดสิ่งที่อยู่ในอกของพวกท่านหรือเปิดเผยมันก็ตามอัลลอฮ์ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งนั้นดีและทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและทุกสิ่งอยู่ในแผ่นดิน และอัลัลอฮนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

30.

วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าและความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย แต่ละชีวิตนั้นชอบหากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกลและอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย

31.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกเขาหากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉันอัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่านและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

32.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลเถิดแต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย

33.

แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงคัดเลือก อาดัมและนูห์ และวงศ์วานของอิบรอฮีมและวงศ์วานของอิมรอนให้เหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย

34.

เป็นเผ่าพันธ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกันและกัน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้

35.

จงรำลึกถึงขณะที่ภรรยาของอิมรอน (นางฮันนะฮ) กล่าวว่าโอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์! แท้จริงข้าพระองค์ได้บนไว้ว่าให้สิ่ง (บุตร)ที่อยู่ในครรภ์ของข้าพระองค์ถูกเจาะจงอยู่ในฐานะผู้เคารพอิบาดะฮต่อพระองค์และรับใช้พระองค์เท่านั้นดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับจากข้าพระองค์ด้วยเถิดแท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

36.

ครั้นเมื่อนางได้คลอดบุตร นางก็กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์!แท้จริงข้าพระองค์ได้คลอดบุตรเป็นหญิงและอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งกว่าถึงบุตรที่นางได้คลอดมาและใช่ว่าเพศชายนั้นจะเหมือนกับเพศหญิงก็หาไม่ และข้าพระองค์ได้ตั้งชื่อเขาว่ามัรยั ม แล้วข้าพระองค์ขอต่อพระองค์ให้ทรงคุ้มครองนางให้ทรงคุ้มครองนางและลูกของนางให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกขับไล่

37.

แล้วพระเจ้าของนางก็ทรงรับมัรยัมไว้อย่างดีและทรงให้นางเจริญวัยอย่างดีด้วยและได้ทรงให้ซะกะรียาอุปการะนางคราใดที่ซะกะรียาเข้าไปหาที่อัลมิหรอบ เขาก็พบปัจจัยยังชีพ อยู่ที่นาง เขากล่าวว่ามัรยัมเอ๋ย! เธอได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร? นางกล่าวว่า มันมาจากที่อัลลอฮ์แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคิดคำนวณ

38.

ที่โน่นแหละ ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่าข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดได้ทรงประทานแก่ข้าพระองค์ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน

39.

และมลาอิกะฮ์ได้เรียกเขา ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ในอัลมิหรอบว่าแท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่ท่าน ด้วยยะหยา (คือแจ้งข่าวดีว่าท่านจะได้บุตร ชื่อยะหยา) โดยที่จะเป็นผู้ยืนยันพจมานหนึ่งจากอัลลอฮ์ และจะเป็นผู้นำและผู้รักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ และเป็นนบีคนหนึ่งจากหมู่ชนที่เป็นคนดี

40.

เขา (นบีซะกะรียา) กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร โดยที่ความชราภาพได้มาถึงข้าพระองค์แล้วและภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วยพระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตามอัลลอฮ์จะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์

41.

เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์!โปรดได้ทรงให้มีสัญญาณหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้านั้นคือเจ้าจะไม่สามารถพูดแก่ผู้คนเป็นเวลาสามวัน(หมายถึงสามคืนด้วย) นอกจากด้วยการแสดวงท่าทางเท่านั้นและจงรำลึกถึงพระเจ้าของเจ้ามากๆ และจงกล่าวสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า

42.

และจงรำลึก ขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย่!แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกเธอและทรงทำให้เธอบริสุทธิ์และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงแห่งประชาชาติทั้งหลาย

43.

มัรยัมเอ๋ย! จงภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าเถิด และจงสุญูดและรุกูอร่วมกับบรรดาผู้รุกูอทั้งหลาย

44.

นั้นคือส่วนหนึ่งจากบรรดาข่าวของสิ่งเล้นลับ ซึ่งเราชี้แจงให้เจ้า(คือท่านนบีมุฮัมมัด) ทราบ และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขา (หมายถึงพวกพระในโบสถ์)ขณะที่พวกเขาโยนเครื่องเสี่ยงทายของพวกเขา (เพื่อทราบว่า)ใครในหมู่พวกเขาจะได้รับอุปการะมัรยัม และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขาโต้เถียงกัน

45.

จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย !แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่ง จากพระองค์ ชื่อของเขาคืออัลมะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัม โดยที่เขาจะเป็นผู้มีเกียรติในโลกนี้ และปรโลกและจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด

46.

และเขา (หมายถึงนบีอีซา) จะพูดแก่ผู้คนขณะอยู่ในเปล และในวัยกลางคนและจะอยู่ในหมู่คนดี

47.

นางกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมีบุตรได้อย่างไรทั้งที่มิได้มีบุรุษใดแตะต้องข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่ากระนั้นก็ตามอัลลอฮ์จะทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงชี้ขาดงานใดแล้วพระองค์ก็เพียงประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นขึ้นเถิดแล้วมันจะเป็นขึ้น

48.

และพระองค์ก็จะทรงสอนเขา ซึ่งการเขียน และความรู้อันถูกต้องและสอนอัตเตารอตและอันอินญีล

49.

และเป็นฑูต (นบีอีซา) ไปยังวงศ์วานอีสรออีล (โดยที่เขาจะกล่าวว่า)แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่านดั่งรูปนกแล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคเรื้อนและฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านไว้ในบ้านของพวกท่านแท้จริงในนั้นมีสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา

50.

และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน อันได้แก่ อัตเตารอตและเพี่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่าน ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่านและฉันได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของท่านมายังพวกท่านแล้วดังนั้นจึงยำเกรงอันลอฮเถิด และจงเชื่อฟังฉัน

51.

แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ พระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของพวกท่านดังนั้นจงอิบาดะฮต่อพระองค์เถิด นี้แหละคือทางอันเที่ยงตรง

52.

ครั้งเมื่ออีซารู้กว่ามีการปฏิเสธศรัทธาเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา (คือหมู่พวกยิว)จึงได้กล่าวว่า ใครบ้างจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันไปสู่อัลลอฮ์บรรดาสาวกผู้บริสุทธิ์ใจกล่าวว่า พวกเราคือผู้ช่วยเหลืออัลลอฮ์พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แล้ว และท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเรานั้นคือผู้น้อมตาม

53.

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ศรัทธาแล้วต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมาและพวกข้าพระองค์ก็ได้ปฏิบัติตาม ร่อซู้ลแล้วโปรดทรงบันทึกพวกข้าพระองค์ร่วมกับบรรดาพวกที่กล่าวปฏิญาณยืนยันทั้งหลายด้วยเถิด

54.

และพวกเขาได้วางแผน (คือ พวกยิวที่ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนบีอีซาได้วางแผนที่จะกำจัดท่าน) และอัลลอฮ์ ก็ทรงวางแผนด้วย (คือวางแผนที่จะปกป้องท่านนบีอีซาให้พ้นจากการทำร้ายของพวกเขา) และอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงวางแผนที่ดีเยี่ยม

55.

จงลำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ ตรัสว่าโอ้อีซา!ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้าและจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้าและจะเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าบริสุทธิ์พ้นจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและจะเป็นผู้ให้บรรดาที่ปฏิบัติตามเจ้าเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์ แล้วยังข้านั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าแล้วข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน

56.

ส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงทั้งในโลกนี้และปรโลกและจะไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด สำหรับพวกเขา

57.

และส่วนบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นพระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเขาโดยครบถ้วน ซึ่งรางวัลของพวกเขาและอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้อธรรม

58.

ดังกล่าวนั้นแหละ เราอ่านมันให้เจ้าฟัง อันได้แก่โองการต่างๆและคำเตือนรำลึกที่รัดกุมชัดเจน

59.

แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดั่งอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดินและได้ทรงประปาศิตแก่เขาว่าจงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น

60.

ความจริง นั้นมาจากพระเจ้าของเจ้า (มุฮัมมัด)ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด

61.

ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้ามนเรื่องของเขา (อีซา)หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิดเราก็จะเรียกลูกๆของเรา และลูกของพวกท่าน และเรียกบรรดาผู้หญิงของเราและบรรดาผู้หญิงของพวกท่าน และตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่านแล้วเราก็จะวิงวอนกัน(ต่ออัลลอฮ์) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อนัต(คือการขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะฮมัตของบอัลลอฮ์)ของอัลลอฮ์พึงประสบแก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก

62.

แท้จริงเรื่องนี้ (คือเรื่องที่นบี อีซาเกิดมาโดยไม่มีพ่อ) เป็นเรื่องจริงและไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ นอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น แลแท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ

63.

แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนอัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงรู้ดีต่อผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย

64.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์!จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน (คือไม่ขัดแย้งกันเนื่องจากทั้งคัมภีร์เตารอตและอินญีลได้บัญญัติไว้อย่างเดียวกัน)ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้นและเรจะไม่ให้สิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยด้วยว่าแท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม

65.

โอ้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ !เพราะเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในตัวของอิบรอฮีม และอัตเตารอตและอัลอินญีลนั้นมิได้ถูกประทานลงมา นอกจากหลังจากเขาแล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ

66.

พวกเจ้านี้แหละ (คือพวกยิวและพวกคริสต์)ได้โต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในสิ่งนั้นแล้วแล้วก็เหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้(คือไม่มีความรู้เกี่ยวกับท่านนบีอิบรอฮีม เพราะท่านมาก่อนพวกเขาเป็นเวลาช้านานและมิได้ถูกระบุไว้ในคัมภีร์ของพวกเขาด้วยว่าท่านเป็นยิวหรือเป็นคริสต์แล้วพวกเขาไปทึกทักเอามาจากไหนที่ต่างฝ่ายอ้างว่าท่านตั้งอยู่ในศาสนาของตน)และอัลลอฮ์ นั้นทรง รู้แต่พวกเจ้าไม่รู้

67.

อิบรอฮีมไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์แต่ทว่าเขาเป็นผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริง เป็นผู้น้อมตาม(คือน้อมตามบัญญัตของอัลลอฮ์โดยปราศจากเงื่อนไข)และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์)

68.

แท้จริงผู้คนที่สมควรยิ่งต่ออิบรอฮีมนั้น ย่อมได้แก่บรรดาผู้ปฏิบัติตามเขาและปฏิบัติตามนบีนี้ (คือปฏิบัติตามตามท่านนบีมุฮัมมัดด้วยเพราะท่านตั้งอยู่บนแนวทางของนบีอิบรอฮีม) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย(คือศรัทธาต่อทานนบีมุฮัมมัด) และอัลลอฮ์นั้นทรงคุ้มครองผู้ศรัทธาทั้งหลาย

69.

กลุ่มหนึ่งจากพวกที่ได้รับคัมภีร์นั้นชอบ หากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิดและพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด นอกจากตังของพวกเขาเองแต่พวกเขาไม่รู้

70.

โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์ทั้งที่พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันอยู่(คือยืนยันว่าลักษณะที่ระบุอยู่ในคัมภีร์ของพวกเขานั้นตรงกับลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัด)

71.

โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จ และปกปิดความจริงไว้(คือปกปิดลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัดไว้) ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่

72.

และกลุ่มหนึ่งจากหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อสิ่งทีถูกให้ลงมาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา(คือศรัทธาต่ออัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่ผู้ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดในเวลาเช้าและก็ปฏิเสธการศรัทธานั้นเสียในเวลาเย็น) ในตอนเริ่มแรกของกลางวัน (เช้า)และจงปฏิเสธศรัทธาในตอนสุดท้ายของมัน (เย็น) เพื่อว่าพวกเขาจาได้กลับใจ

73.

และพวกท่านจงอย่าเชื่อ (คือพวกยิวที่ได้กล่าวห้ามพวกเขา)นอกจากแก่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาของพวกท่านเท่านั้น-จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าคำแนะนำนั้นคือคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น (คือจงอย่าเชื่อว่า) จะมีผู้ใดได้รับ(คือไม่มีผู้ใดในชีวิตอื่น จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรอซูลเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของพวกท่านได้รับ) เยี่ยงที่พวกท่านได้รับ หรือ(อย่าเชื่อว่า) เขาเห่ลานั้น (หมายถึงบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัดซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม) จะโต้แย้งพวกท่าน ณ พระเจ้าของพวกท่านเลย จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงความโปรดปรานนั้นอยู่ ณ พระหัตถ์ของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ก็จะทรงประทานมันให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงไพศาล ผู้ทรงรอบรู้

74.

พระองค์จะทรงเจาะจงความเอ็นดูเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่

75.

และจากหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมายเขาก็จะคืนมันแก่เจ้าและจากหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้สักเหรียญทองหนึ่งเขาก็จะไม่คืนมันแก่เจ้า นอกจากเจ้าจะยืนเฝ้าทวงเขาอยู่เท่านั้นนั่นก็เพราะว่าพวกเขากล่าวว่า ในหมู่ผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็นนั้นไม่มีทางใดที่เป็นโทษแก่เราได้(กล่าวคือพวกเขาถือว่าการโกงบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็นในหมู่ชนชาติอาหรับนั้นไม่มีบาปหรือโทษใดๆโดยอ้างว่าเพราะเขาเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเกลียดชัง ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวเท็จให้แก่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮู วะตะอาลา อีกกระทงหนึ่ง) และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ทั้งๆที่พวกเขารู้กันดีอยู่

76.

มิใช่เช่นนั้นดอก (คือมิใช่อย่างที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้นดอกเพราะการโกงผู้อื่นนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถือว่าเป็นความผิด และจะได้รับโทษ)ผู้ใดที่รักสัญญาของเขาโดยครบถ้วน และยำเกรง (อัลลอฮ์)แล้วแน่นอนอัลลอฮ์ทรงชอบผู้ที่ยำเกรงนั้น

77.

แท้จริงผู้ที่นำสัญญาของอัลลอฮ์ และการสาบานของพวกเขาไปขายด้วยราคาอันเล็กน้อยนั้นชนเหล่านี้แหละไม่มี่ส่วนได้ใดๆแก่พวกเขาในปรโลก และอัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขาและจะไม่ทรงมองดูพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และทั้งจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดด้วย(คือสะอาดจากความผิดที่ไม่นำพาต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่อัลลอฮ์นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอภัยโทษอย่างเด็ดขาด)และพวกเขาจะได้รับโทษอันเจ็บแสบ

78.

และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขา ในการอ่านคัมภีร์เพื่อพวกเจ้าจะได้คิดว่ามันมาจากคัมภีร์ ทั้งที่มันมิได้มาจากคัมภีร์และพวกเขากล่าวว่า มันมาจากที่อัลลอฮ์ ทั้งที่มันมิใช่มาจากอัลลอฮ์และพวกเขากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ ทั้งที่พวกเขาก็รู้กันดีอยู่

79.

ไม่เคยปรากฎแก่บุคคลใดที่อัลลอฮ์ทรงประทานคัมภีร์และข้อตัดสิน และการเป็นนบีแก่เขา(หมายถึงท่าน นบีอีซา) แล้วเขากล่าวแก่ผู้คนว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นบ่าวของฉัน(กล่าวคือพวกยิวอ้างว่าท่านนบีอีซาเป็นพระเจ้าโดยแบ่งภาคมาเกิดเป็นพระบุตรในการนี้พวกเขาจึงเป็นบ่าวของท่าน ทั้งๆที่ท่านมิได้ประกาศตนว่าเป็นพระเจ้าและมิได้เชิญชวนให้พวกเขาเป็นบ่าวของพระองค์แต่อย่างใด) อื่นจากอัลลอฮ์ หากแต่(เขาจะกล่าวว่า) ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ผูกพันธ์กับพระเจ้า(คือเป็นผู้ศรัทธาต่อพระองค์และให้เอกภาพแด่พระองค์ตลอดจนปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์โดยเคร่งครัด) เถิดเนื่องจากการที่พวกท่านเคยสอนคัมภีร์ (คือเคยสอนคัมภีร์เตารอตและศึกษาคัมภีร์นั้นมาก่อนในฐานะที่เคยศรัทธาต่อท่านนบีมูซา) และเคยศึกษาคัมภีร์มา

80.

และพวกเขาจะไม่ใช้พวกเจ้าให้ยึดเอามลาอิกะฮ์ และบรรดานบีเป็นพระเจ้าเขาจะใช้พวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อม(คือศรัทธาต่ออัลลอฮ์) แล้วกระนั้นหรือ?

81.

และจงลำลึกขณะที่อัลลอฮ์ ได้ทรงเอาข้อสัญญาแก่นบีทั้งหลายว่าสิ่งที่ข้าได้ให้แก่พวกเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ก็ดีและความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาก็ดีภายหลังได้มีร่อซู้ลคนใดมายังพวกเจ้าซึ่งเป็นผู้ยืนยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าแล้วแน่นอนพวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อเขา และช่วยเหลือเขา(คือการที่บรรดานบียอมรับสัญญาจากอัลลอฮ์ที่จะศรัทธาต่อนบีที่มาหลังจากพวกเขานั้นเป็นการยืนยันว่าพวกอะฮลุลกิตาบนั้นจำเป็นจะต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เพราะว่าเมื่อบรรดานบีของพวกเขา ยังต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัดแล้วไซร้พวกเขาซึ่งศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขา ก็ต้องศรัทธาต่อท่านนบีมุฮำมัด ด้วยถ้ามิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็หาได้ศรัทธาต่อบรรดานบีของพวกเขาไม่) พระองค์ตรัสว่าพวกเจ้ายอมรับและเอาข้อสัญญาของข้าดังกล่าวนั้นแล้วใช่ไหม? พวกเขากล่าวพวกข้าพระองค์ยอมรับแล้ว พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าจงเป็นพยานเถิดและข้าก็อยู่ในหมู่ผู้เป็นพยานร่วมกับพวกเจ้าด้วย

82.

แล้วผู้ใดที่ผินหลังให้หลังให้หลังจากนั้น ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ละเมิด

83.

อื่นจากศาสนาของอัลลอฮ์ กระนั้นหรือที่พวกเขาแสวงหา? และแด่พระองค์นั้นผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินได้นอบน้อมกันทั้งด้วยการสมัครใจ และฝืนใจและยังพระองค์นั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไป

84.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสหาก และยะอกูบ และบรรดาผู้สืบเชื้อสาย (จากยะอกูบ)และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซา และอีซา และนบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขาโดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา (คือไม่แยกศรัทธาเฉพาะบางท่านเช่น ศรัทธาเฉพาะท่านนบีมูซา ไม่ศรัทธาต่อท่านนบีอีซา และท่านนบีมุฮัมมัดดั่งที่ยิวปฎิบัติ หรือศรัทธาเฉพาะท่านนบีอีซา ไม่ศรัทธาต่อท่านนะบุมูซาและท่านนบีมุฮัมมัด ดั่งที่พวกคริสต์ปฏิบัติ หากแต่เราศรัทธาต่อนบีทุกท่าน)และพวกเรานั้นเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์

85.

และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้วศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน

86.

อย่างไรเล่าที่อัลลอฮ์จะทรงแนะนำพวกใดพวกหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาศรัทธาแล้วและทั้งยังได้ยืนยันด้วยว่า แท้จริงร่อซู้ล (หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด ซ้อลลัลลอฮอะลัยฮิ วะซัลลัม) นั้นเป็นความจริง และได้มีหลักฐานต่างๆอันชัดแจ้งมายังพวกเขาด้วยและอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงแนะนำผู้ที่อธรรม

87.

ชนเหล่านี้แหละ การตอบแทนแก่พวกเขาก้อคือ การละอนัต จากอัลลอฮ์(หมายถึงการขับไล่ให้ห่างไกล จากเราะหมัต ของพระองค์ ถ้าจากมะลดอิกะฮ์ และมนุษย์หมายถึงการขอต่ออัลลอฮ์ให้ทรงขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะหมัตของพระองค์) จากมะอิกะห์และจากมนุษย์ทั้งมวลนั้นจะตกอยู่แก่พวกเขา

88.

โดยที่พวกเขาจะอยู่ในการละอนัตนั้นตลอดกาลซึ่งการลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนเบาแก่พวกเขา และทั้งพวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ถูกประวิง อีกด้วย

89.

นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดหลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้น และได้ปรับปรุงแก้ไขแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

90.

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธากันแล้วยังได้ทวีการปฏิเสธขึ้นอีกนั้นการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวของพวกเขาจะไม่ถูกรับเป็นอันขาดและชนเหล่านี้แหละผู้ที่หลงทาง

91.

แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกเขาได้หายไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นทองเต็มแผ่นดินก็จะไม่ถูกรับจากคนใดในพวกเขาเป็นอันขาดและแม้ว่าเขาจะใช้ทองนั้นไถ่ตัวเขาก็ตาม ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบและทั้งไม่มีบรรดาผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับพวกเขาด้วย

92.

พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบและสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไปแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ในสิ่งนั้นดี

93.

อาหารทุกชนิดนั้นเคยเป็นที่อนุมัติแก่วงศ์วานอิสรออีลมาแล้วนอกจากที่อิสรออีลได้ให้เป็นที่ต้องห้ามแก่ตัวเขาเองก่อนจากที่อัตเตารอตจะถูกประทานลงมาเท่านั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ว่าพวกเจ้าจงนำเอาอัตเตารอตมาแล้วจงอ่านมันดู หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง

94.

แล้วผู้ใดที่อุปโลกน์ความเท็จให้อัลลอฮ์หลังจากนั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้อธรรม

95.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นตรัสจริงแล้วดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมผู้หันออกจากความเท็จสู่ความจริงเถิดและเขาไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาค (แก่อัลลอฮ์) เลย

96.

แท้จริงบ้านหลักแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์)นั้นคือบ้านที่มักกะฮ์ โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญและเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย

97.

ในบ้านนั้น มีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง (ส่วนหนึ่งนั้น) คือมะกอมอิบรอฮีมและผู้ใดได้เข้าไปในบ้านนั้นเขาก็เป็นผู้ปลอดภัยและสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้นคือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้นอันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้และผู้ใดปฏิเสธแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย

98.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย!เพราะเหตุใดพวกท่านจึงปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นจะทรงเป็นพยานยืนยันในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน

99.

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าโอ้ผู้ที่ได้กรับคัมภีร์ทั้งหลาย!เพราะเหตุใดท่านจึงขัดขวางผ็ศรัทธาซึ่งทางของอัลลอฮ์โดยที่พวกท่านปรารถนาจะให้ทางของอัลลอฮ์คดทั้ง ๆ ที่พวกท่านก็เป็นพยานยืนยันอยู่และอัลลอฮ์นั้นมิใช่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกท่านกระทำกัน

100.

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! หากพวกเจ้าเชื่อฟังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์แล้ว พวกเขาก็จะให้พวกเจ้ากลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีกหลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว

101.

และอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธากัน ทั้งๆ ที่พวกเจ้านั้นมีบรรดาโองการของอัลลอฮ์ถูกอ่านแก่พวกเจ้าอยู่และยังมีร่อซู้ลของพระองค์อยู่ในหมู่พวกเจ้าด้วย และผู้ใดยืดมั่นต่ออัลลอฮ์แน่นอนเขาก็ได้รับคำแนะนำไปสู่ทางอันเที่ยงตรง

102.

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงยำเกรงอัลลอฮ์อย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตายเป็นอันขาดนอกจากในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อมเท่านั้น

103.

และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกันและจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกันแล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้าแล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรกแล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระอง๕เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง

104.

และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้าซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบและห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบและชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ

105.

และพวกเจ้าจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่แตกแยกกันและขัดแย้งกันหลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้วและชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันใหญ่หลวง

106.

วันซึ่งบรรดาใบหน้าจะขาวผ่อง และบรรดาใบหน้าจะดำคล้ำส่วนผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำนั้น (พวกเขาจะถูกถามว่า) พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้วกระนั้นหรือ? พวกเจ้าจงชิมการลงโทษเถิดเนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา

107.

และส่วนบรรดาผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาขาวผ่องนั้น เขาจะอยู่ในความเมตตาของอัลลอฮ์โดยที่พวกเขาจะอยู่ในความเมตตานั้นตลอดกาล

108.

นั่นคือบรรดาโองการของอัลลอฮ์โดยที่เรา อ่านโองการเหล่านั้นแก่เจ้าด้วยความจริงและอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์ซึ่งการอธรรมใด ๆ แก่ประชาชาติทั้งหลาย

109.

และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นและยังอัลลอฮ์นั้นกิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป

110.

พวกเจ้านั้น เป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษย์ชาติโดยที่พวกเจ้าใช้ให้ปฏิบัติสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบัติสิ่งที่มิชอบและศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และถ้าหากว่าบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ศรัทธากันแล้วแน่นอนมันก็เป็นการดีแก่พวกเขา จากพวกเขานั้นมีบรรดาผู้ที่ศรัทธาและส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ละเมิด

111.

พวกเขา จะไม่ทำอันตรายแก่พวกเจ้าได้เลย นอกจากการก่อความเดือดร้อนเล็ก ๆ น้อยๆเท่านั้น และหากพวกเขาต่อสู้พวกเจ้า พวกเขาก็จะหันหลังหนีพวกเจ้าแล้วพวกเขาก็จะไม่ได้กรับความช่วยเหลือ

112.

ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบนอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์และพวกเขาจะนำความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไป และความขัดสนก็จะถูกฟาดลงบนพวกเขานั่นก็เพราะว่าพวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอ์และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาดื้อดึงและเคยทำการละเมิด

113.

พวกเขาหาใช่เหมือนกันไม่จากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมีกลุ่มชนหนึ่งที่เที่ยงธรรมซึ่งพวกเขาอ่านบรรดาโองการของอัลลอฮ์ในยามค่ำคืน และพร้อมกันนั้น พวกเขาก็สุยูดกัน

114.

พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และใช้ให้ปฏิบัติสิ่งที่ชอบและห้ามมิให้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ชอบ และต่างรีบเร่งกันในบรรดาสิ่งดีงามและชนเหล่านี้และอยู่ในหมู่ที่ประพฤติดี

115.

และความดีใด ๆ ที่พวกเขากระทำพวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธในความดีนั้นเป็นอันขาดและอัลลอฮ์ทรงรู้ดีต่อบรรดาผู้ที่ยำเกรง

116.

แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นทรัพย์สินของพวกเขา และลูก ๆของพสกเขาจะไม่อำนวยประฌยชน์ให้พวกเขาพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้อย่างใดเลยและชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล

117.

อุปมาสิ่งที่พวกเขาบริจาคไปในชีวิตความเป้นอยู่แห่งโลกนี้นั้นอุปมัยลมซึ่งมีความเย็นจัดได้ประสบแก่พืชผลของพวกกหนึ่งที่อธรรมแก่ตัวเองแล้วได้ทำลายพืชผลนั้นอัลลอฮ์นั้นมิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขา แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง

118.

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าได้ยึดเอาเพื่อสนิทที่รู้เห็นกิจการภายในอื่นจากพวกของเจ้าเองซึ่งเขาเหล่านั้นจะไม่ลดลบะแก่พวกเจ้าในการก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นพวกเขาชอบกสรที่พวกเจ้าลำบากแท้จริงความเกลียดชังต่างๆ ได้เผยออกมาแล้วจากปากของพวกเขาและสิ่งที่หัวอกของพสกเขาซ่อนไว้นั้นใหญ่ยิ่งกว่าแน่นอนเราได้แจกแจงบรรดาโองการไว้แก่พวกเจ้าแล้ว หากพวกเจ้าใช้ปัญญากัน

119.

ถึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี้แหละรักใคร่พวกเขาทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รักใคร่พวกเจ้าและพวกเจ้าศรัทธาต่อคัมภีร์ทุกเล่ม และเมื่อพวกเขาพบพวกเจ้าพวกเขาก็กล่าวว่าพวกเราศรัทธากันแล้ว และเมื่อพวกเขาอยู่แต่ลำพัง พวกเขาก็กัดนิ้วมือเนื่องจากความเคียดแค้นแก่พวกเจ้าจงกล่าเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกเจ้าจงตายด้วยความเคียดแค้นของพสกเจ้าเถิดแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในหัวอกทั้งหลาย

120.

หากมีความดีใดๆ ประสบแก่พวกเจ้า ก็ทำให้พวกเขาเศร้าใจและถ้าหากความชั่วใด ๆประสบแก่พวกเจ้า พวกเขาก็ดีใจเนื่องด้วยความชั่วนั้น และถ้าพวกเจ้าอดทนและยำเกรงแล้วไซร้อุบายของพวกเขาก็ย่อมไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าแต่อย่างใดแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงล้อมซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

121.

และจงรำลึกถึงขณะที่เจ้าจากครอบครัวของเจ้าไปแต่เช้าตรู่โดยที่เจ้าจะได้จัดให้บรรดามุอ์มินประจำที่มั่นต่างๆ เพื่อการสู้รบและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้

122.

จงรำลึกขณะที่สองกลุ่ม ในหมู่พวกเจ้ารู้สึกอ่อนแอและขลาดและอัลลอฮ์เป็รนผู้ทรงคุ้มครองทั้งสองกลุ่มนั้นไว้และแด่อัลลอฮ์นั้นมุอ์มินทั้งหลายจงมอบหมายเถิด

123.

และแน่นอน อัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าที่บะดัร มาแล้วทั้งๆที่พวกเข้าเป็นพวกด้อยกว่า ดังนั้นพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอ์เถิดหวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ

124.

จงรำลึกถึงขณะที่เจ้า (มุฮัมมัด) กล่าวแก่บรรดามุอ์มินว่าไม่เพียงกอแก่พวกเจ้าเลยหรือ การที่พระเจ้าของพวกท่านจะหนุนกำลังแก่พวกท่านด้วยมลาอิกะฮ์จำนวนสามพันโดยถูกส่งลงมา

125.

เพียงพอแน่นอน หากพวกเจ้าอดทนและยำเกรง และพวกเขาจะ มายังพวกเจ้าทันทีทันใดขณะนี้แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าก็จะหนุนกำลังแก่พวกเจ้าอีก ด้วยจำนวนมลาอิกะฮ์ห้าพันโดยมีเครื่องหมาย

126.

และอัลลอฮ์มิได้ทรงให้กำลังหนุนนั้นมีขึ้น นอกจากเพื่อเป็นข่าวดีแก่พวกเจ้าและเพื่อที่หัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบด้วยกำลังหนุนนั้นและความช่วยเหลือทั้งหลายนั้นไม่มี(จากที่อื่นใด) นอกจากที่อัลลอฮ์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเท่านั้น

127.

เพื่อพระองค์จะทรงบั่นทองส่วนหนึ่งออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหรือทรงให้พวกเขาได้รับความอัปยศแล้วพวกเขาก็จะถอยกลับไปในฐานะผู้ผิดหวัง

128.

ไม่มีสิ่งใดเป็นสิทธิของเจ้า (มุฮัมมัด) จากกิจการเหล่านั้นหรือไม่ก็พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาหรือลงโทษพวกเขาเพราะพวกเขานั้นคือผู้อธรรม

129.

และสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้ยนฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นพระองค์จะทรงอภัยดทษให้แก่พผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ

130.

โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!จงอย่ากินดอกเบี้ยหลายเท่าที่ถูกทบทวีและพวกเขาพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ

131.

และพวกเจ้าจงเกรงกลัวไฟนรกที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเถิด

132.

และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา

133.

และพวกเจ้าจงรีบเร่งกันไปสู่การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้าและไปสู่สวรรค์ซึ่งความกว้างของมันนั้น คือบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินโดยที่มันถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง

134.

คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย และในยามเดือดร้อนและบรรดาผู้ข่มโทษและบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย

135.

บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรือ อยุติธรรมแก่ตัวเองแล้วพวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ์ แล้วขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวกเขาและใครเล่าที่จะอภัยโทษบรรดาความผิดทั้งหลายให้ได้ นอกจากอัลลอฮ์แล้วและพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่ง ที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่

136.

ชนเหล่านี้แหละการตอบแทนแก่พวกเขาคือการอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขาและบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายในสวนเหล่านั้นโดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนเหล่านั้นตลอดกาล และรางวัลของผู้ทำงานนั้นช่างเลิศจริงๆ

137.

แน่นอนได้ผ่านพ้นมาแล้วก่อนพวกเจ้า ซึ่งแนวทางต่างๆดังนั้นพวกเจ้าจงท่องเที่ยวไปในแผ่นดินแล้วจงดูว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ปฏิเสธเป็นอย่างไร?

138.

นี่คือข้อชี้แจงอันชัดเจสำหรับมนุษย์และเป็นคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นคำตักเตือนสำหรับผู้ยำเกรงทั้งหลาย

139.

และพวกเจ้าจงอย่าท้อแท้ และจงอย่าเสียใจ แลบพวกเจ้านั้นคือผู้ที่สูงส่งยิ่งหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา

140.

หากประสบแก่พวกเจ้า ซึ่งบาดแผลหนึ่งบาดแผลใด แน่นอนก็ย่อมประสบแก่พวกนั้นซึ่งบาดแผลเยี่ยงเดียวกันและบรรดาวันเหล่านั้นเราได้ให้มันหมุนเวียนไประหว่างมนุษย์และเพื่ออัลลอฮ์จะได้ทรงรับรู้บรรดาผู้ที่ศรัทธาแลเพื่อเอาบรรดาผู้เสียชีวิตในสงครามจากพวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงรักใคร่ผู้อธรรมทั้งหลาย

141.

เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงขัดเกลาบรรดาผู้ศรัทธาให้บริสุทธิ์และทรงขจัดบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาให้หมดไป

142.

หรือว่าพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวนสวรรค์ ทั้งๆ ที่อัลลอฮ์ยังมิได้ทรงรู้บรรดาผู้ที่ต่อสู้ (ญิฮาด) ในหมู่พวกเจ้าพร้อมกันนั้นพระองค์ก็จะทรงรู้บรรดาผู้ที่อดทนด้วย

143.

และแน่นอนพวกเจ้า เคยปรารถนาความตาย ก่อนจากที่พวกเจ้าจะได้พบมันแล้วแน่นอนพวกเจ้าก็ได้เห็นมันแล้ว ขณะที่พวกเจ้ามองดูกันอยู่

144.

และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อื่นมดไม่นอกจากเป็นร่อซู้ลผู้หนึ่งเท่านั้นซึ่งบรรดาร่อซู้ลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว แล้วหากเขาตายไปหรือเขาถูกฆ่าก็ตามพวกเจ้าก็หันสันเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ?และผู้ใดที่หันสันเท้าทั้งสองของเขากลับแล้วไซร้มันก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์แต่อย่างใดเลยและอัลลอฮ์นั้นจะทรงตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย

145.

และมิเคยปรากฏแก่ชีวิตใดที่จะตายนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้นทั้งนี้เป็นลิขิตที่ถูกกำหนดไว้ และผู้ใดต้องการผลตอบแทนในโลกนี้เราก็จะให้แก่เขาจากโลกนี้ และผู้ใดต้องการผลตอบแทนในปรโลกเราก็จะให้แก่เขาจากปรโลกและจะตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย

146.

และนบีกี่มากน้อยแล้ว ที่กลุ่มชนอันมากมายได้ต่อสู้ร่วมกับเขาแล้วพวกเขาหาได้ท้อแท้ไม่ต่อสิ่งที่ได้ประสบแก่พวกเขาในทางของอัลลอฮ์และพวกเขาหาได้อ่อนกำลังลง และหาได้สยบไม่ และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้ที่อดทนทั้งหลาย

147.

และคำพูดของพวกเขามิปรากฏเป็นอื่นใด นอกจากพวกเขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์ โปรดได้ทรงอภัยโทษให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิดซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และการที่พวกข้าพระองค์กระทำเกินขอบเขตในกิจการของพวกข้าพระองค์และโปรดทรงให้เท้าของพวกข้าพระองค์มั่นอยู่และโปรดทรงช่วยเหลือพวกข้าพระองค์ให้ชนะเหนือกลุ่มชนผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย

148.

แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงประทานให้แก่พวกเขาซึ่งผลตอบแทนแห่งโลกนี้และผลตอบแทนที่ดีแห่งปรโลก และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย

149.

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! หากพวกเจ้าเชื่อฟังบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาแล้วพวกเขาก็จะให้พวกเจ้ากลับส้นเท้าของพวกเจ้าเสียแล้วพวกเจ้าก็จะกลับเป็นผู้ที่ขาดทุน

150.

แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหาก คือผู้ช่วยเหลือพวกเจ้าและพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ดีเยี่ยมในบรรดาผู้ช่วยเหลือทั้งหลาย

151.

เราจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นเนื่องจากการที่พวกเขาให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆมายืนยันในสิ่งนั้น และที่อยู่ของพวกเขาคือขุมนรก ช่างเลวร้ายจริงๆ ซึ่งที่อยู่ของบรรดาผู้อธรรม

152.

และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงให้สัญญาของพระองค์สมจริงแก่พวกเจ้าแล้วขณะที่พวกเจ้าเข่นฆ่าพวกเขา ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ จนกระทั่งพวกเจ้าขลาดที่จะต่อสู้และขัดแย้งกันในคำสั่ง และพวกเจ้าได้ฝ่าฝืนหลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นสิ่งทีพวกเจ้าชอบแล้วจากพวกเจ้านั้นมีผู้ที่ต้องการโลกนี้ และจากพวกเจ้านั้นมีผู้ที่ต้องการปรโลกแล้วพระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าหันกลับจากพวกเขาเสีย เพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าและแน่นอนพระองค์ได้ทรงอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้วและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย

153.

จงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้าหนีเอาตัวรอด และไม่เหลียวมองคนหนึ่งคนใดทั้งๆที่ร่อซู้ลกำลังเรียกพวกเจ้าอยู่ทางเบื้องหลังของพวกเจ้าแล้วพระองค์ก็ได้ทรงตอบแทนพวกเจ้าซึ่งความเศร้าโศกอย่างหนึ่งพร้อมด้วยความเศร้าโศกอีกอย่างหนึ่งเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ไม่เสียใจในสิ่งที่หลุดมือพวกเจ้าไปและไม่เสียใจต่อสิ่งที่ประสบแก่พวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

154.

แล้วพระองค์ก็ทรงประทานแก่พวกเจ้า ซึ่งความปลอดภัย หลังจากความเศร้าโศกนั้นคือให้มีการงีบหลับครอบคลุมกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า และอีกกลุ่มหนึ่งนั้นตัวของพวกเขาเองทำให้พวกเขากระวนกระวายใจ พวกเขากล่าวหาอัลลอฮ์โดยปราศจากความเป็นธรรมอย่างพวกสมัยงมงาย (อัลญาฮิลียะฮ์) พวกเขากล่าวว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากกิจการนั้นเป็นสิทธิของเราบ้างไหม? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ว่าแท้จริงกิจการนั้นทั้งหมดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นพวกเขาปกปิดไว้ในใจของพวกเขา สิ่งซึ่งพวกเขาจะไม่เปิดเผยแก่เจ้าพวกเขากล่าวว่าหากปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากกิจการนั้น เป็นสิทธิของเราแล้วไซร้พวกเราก็ไม่ถูกฆ่าตายที่นี่ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แม้ปรากฏว่าพวกท่านอยู่ในบ้านของพวกท่านก็ตาม แน่นอนบรรดาผู้ที่การฆ่าได้ถูกกำหนดแก่พวกเขาก็จะออกไป สู่ที่นอนตายของพวกเขาและเพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงทดสอบสิ่งที่อยู่ในหัวอกของพวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่หัวอกทั้งหลาย

155.

แท้จริงบรรดาผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าที่หันหลังหนีในวันที่สองกลุ่มเผชิญหน้ากันนั้นแท้จริงชัยฏอนต่างหากที่ทำให้พลั้งพลาดไปเนื่องจากบางสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้เท่านั้นและแน่นอนอัลลอฮ์ก็ได้ทรงอภัยแก่พวกเขาแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงหนักแน่น

156.

โอ้ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและกล่าวแก่พวกพ้องของพวกเขา ขณะที่เขาเหล่านั้นเดินทางไปในผืนแผ่นดินหรือขณะที่เขาเหล่านั้นเป็นนักรบว่า หากพวกเขาอยู่ที่เราแล้วพวกเขาก็ย่อมไม่ตายและไม่ถูกฆ่า เพื่อว่าอัลลอฮ์จะทรงให้เรื่องนั้นเป็นที่เศร้าโศกในหัวใจของพวกเขาและอัลลอฮ์นั้นทรงให้เป็นและให้ตายและอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

157.

และแน่นอน ถ้าหากพวกเจ้าถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์ หรือพวกเจ้าตาย (ในทางของพระองค์)แล้ว แน่นอนการอภัยโทษและการเอ็นดูเมตตาจากอัลลอฮ์นั้นดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมกันอยู่

158.

และแน่นอน ถ้าหากพวกเจ้าตายไปหรือถูกฆ่า แล้วแน่นอนยังอัลลอฮ์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำไปชุมนุม

159.

เนื่องด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ์นั่นเอง เจ้า (มุฮัมมัด) จึงได้สุภาพอ่อนโยนแก่พวกเขาและถ้าหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวออกไปจากรอบๆ เจ้ากันแล้ว ดังนั้นจงอภัยให้แก่พวกเขาเถิดและจงขออภัยให้แก่พวกเขาด้วย และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลายครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์เถิดแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย

160.

หากว่าอัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าก็ไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้วก็ผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์ และแด่อัลลอฮ์นั้นผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายเถิด

161.

และไม่ปรากฏแก่นบีคนใดที่จะยักยอก (ทรัพย์เชลย) และผู้ใดยักยอกแล้วเขาก็จะนำสิ่งที่เขายักยอกนั้นมาในวันกิยามะฮ์แล้วแต่ละคนจะได้รับการตอบแทนอย่างครบถ้วน ตามที่เขาได้แสวงหาไว้โดยที่พวกเขาจะไม่ได้รับความอยุติธรรม

162.

ผู้ที่ปฏิบัติตาม ความปิติยินดีของอัลลอฮ์นั้นจะเหมือนกับผู้ที่ได้นำความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไปกระนั้นหรือ?และที่อยู่ของเขานั้นคือ ญะฮันนัม และเป็นที่กลับอันเลวร้ายยิ่ง

163.

พวกเขาเหล่านั้นมีหลายระดับขั้น ณ อัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

164.

แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายโดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซู้ลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟังและจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วยและแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง

165.

และเมื่อมีภยันตรายหนึ่ง ประสบแก่พวกเจ้าทั้งๆที่พวกเจ้าได้ให้ประสบแก่พวกเขามาแล้วถึงสองเท่าแห่งภยันตรายนั้นพวกเจ้าก็ยังกล่าวว่าสิ่งนี้มาจากไหนกระนั้นหรือ? จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่ามันมาจากที่ตัวของพวกท่านเองแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

166.

และสิ่งที่ประสบแก่พวกเจ้า ในวันที่สองกลุ่มเผชิญกันนั้นก็โดยอนุมัติของอัลลอฮ์และเพื่อที่พระองค์จะทรงรู้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นเอง

167.

และเพื่อพระองค์จะทรงรู้บรรดาผู้ที่กลับกลอกด้วย และได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่าจงมากันเถิด จงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์กัน หรือไม่ก็จงป้องกัน พวกเขากล่าวว่าหากเรารู้ว่ามีการสู้รบกันแล้ว แน่นอนเราก็ตามพวกท่านไปแล้ว ในวันนั้นพวกเขาใกล้แก่การปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าพวกเขามีศรัทธา พวกเขาจะกล่าวด้วยปากของพวกเขาสิ่งที่ไม่ใช่อยู่ในหัวใจของพวกเขาและอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขาปกปิดกัน

168.

บรรดาผู้ที่พูดเกี่ยวแก่พี่น้องของพวกเขา โดยที่พวกเขานั่งเฉยอยู่ว่าถ้าหากพวกเขาเชื่อฟังเรา พวกเขาก็ไม่ถูกฆ่า จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านจงป้องกันความตายให้พ้นจากตัวของพวกท่านเถิด หากพวกท่านพูดจริง

169.

และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์นั้นตายมิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขา ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ

170.

ปลาบปลื้มต่อสิ่ง ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา จากความกรุณาของพระองค์และปิติยินดีต่อบรรดาผู้ที่ยังมาไม่ทันพวกเขาซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขาว่าไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขาและทั้งพวกเขาจะไม่เสียใจ

171.

พวกเขาปิติยินดีต่อสิ่งอำนวยความสุขจากอัลลอฮ์ และความกรุณา (จากพระองค์) ด้วยและแท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงให้สูญหายซึ่งรางวัลของผู้ศรัทธาทั้งหลาย

172.

คือบรรดาผู้ที่ตอบรับอัลลอฮ์และร่อซู้ลหลังจากที่บาดแผลได้ประสบแก่พวกเขาสำหรับบรรดาผู้กระทำดีในหมู่พวกเขาและมีความยำเกรงนั้น คือรางวัลอันใหญ่หลวง

173.

บรรดาที่ ผู้คน ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงมีผู้คน ได้ชุมนุมสำหรับพวกท่านดังนั้นพวกท่านจงกลัวพวกเขาเถิด แล้วมัน ได้เพิ่มการอีมานแก่พวกเขาและพวกเขากล่าวว่าอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ที่พอเพียงแก่เราแล้วและเป็นผู้รับมอบหมายที่ดีเยี่ยม

174.

แล้วพวกเขาได้กลับมา พร้อมด้วยความ กรุณาจากอัลลอฮ์ และความโปรดปราน (จากพระองค์)โดยมิได้มีอันตรายใดๆ ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้ปฏิบัติตามความพอพระทัยของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์คือผู้ทรงโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่

175.

แท้จริงชัยฏอนนั้น เพียงขู่ได้ เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้นดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา

176.

และจงอย่าให้บรรดาผู้ที่เร่งรีบกันในการปฏิเสธศรัทธา เป็นที่เสียใจแก่เจ้าแท้จริงพวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลยอัลลอฮ์นั้นทรงต้องการที่จะไม่ให้มีส่วนได้ใดๆ แก่พวกเขาในปรโลกและสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันยิ่งใหญ่

177.

แท้จริงบรรดาผู้ที่ซื้อการกุฟุร ด้วยการอีมานนั้นพวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮ์ได้แต่อย่างใดเลยและสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ

178.

และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า ที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้น เป็นการดีแก่ตัวของพวกเขา แท้จริงที่เราประวิงให้แก่พวกเขานั้นเพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนซึ่งบาปกรรมเท่านั้นและสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันต่ำช้า

179.

ใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ศรัทธาไว้ในสภาพที่พวกเจ้ากำลังเป็นอยู่ก็หาไม่จนกว่าพระองค์จะทรงจำแนกผู้ที่เลวออกจากผู้ที่ดีเท่านั้นและใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเร้นลับก็หาไม่แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงคัดเลือกจากบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ดังนั้นพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์เถิดและหากพวกเจ้าศรัทธาและยำเกรงแล้ว สำหรับพวกเจ้าก็คือ รางวัลอันยิ่งใหญ่

180.

และบรรดาผู้ที่ตระหนี่ในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความกรุณาของพระองค์นั้นจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่ามันเป็นการดีแก่พวกเขา หากแต่มันเป็นความชั่ว แก่พวกเขาซึ่งพวกเขาจะถูกคล้องสิ่งที่พวกเขาได้ตระหนี่มันไว้ในวันกิยามะฮ์และสำหรับอัลลอฮ์นั้น คือมรดกแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

181.

แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของบรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ยากจน และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมีเราจะจารึกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้ และการที่พวกเขาฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรมด้วยและเราจะกล่าวว่าพวกเจ้าจงลิ้มการลงโทษแห่งเปลวเพลิงเถิด

182.

นั่นก็เพราะสิ่งที่มือของพวกเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนและแท้จริงอัลลอฮ์นั้นมิใช่ผู้อธรรมแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย

183.

บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงสั่งเสียแก่เราว่าเราจะไม่ศรัทธาแก่ร่อซู้ลคนใดจนกว่าเขาจะนำมาแก่เราซึ่งสิ่งพลีแด่อัลลอฮ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งจะมีไฟกินมันจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงได้มีบรรดาร่อซู้ลก่อนจากฉันได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดเจนมายังพวกท่านแล้วและได้นำสิ่งที่พวกท่านได้กล่าวไว้ด้วย แล้วไฉนเล่า พวกท่านจึงได้ฆ่าพวกเขาหากพวกท่านพูดจริง

184.

แล้วหากพวกเขาปฏิเสธเจ้า ก็แท้จริงนั้นบรรดาร่อซู้ลก่อนหน้าเจ้าก็ได้ถูกปฏิเสธมาแล้วซึ่งเขาเหล่านั้นได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดเจนบรรดาคัมภีร์ซะบูร และคัมภีร์ที่ให้แสงสว่างมาด้วย

185.

แต่ละชีวิตนั้น จะได้ลิ้มรสแห่งความตายและแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น คือวันปรโลกแล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ชนะแล้ว และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น

186.

แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะถูกทดสอบในทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าและตัวของพวกเจ้าและแน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะได้ยินจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้าและบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮ์) ซึ่งการก่อความเดือดร้อนอันมากมายและหากพวกเจ้าอดทนและยำเกรงแล้ว แท้จริงนั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่เด็ดเดี่ยว

187.

และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮ์ทรงเอาคำมั่นสัญญาจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ว่าแน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะต้องแจกแจงคัมภีร์นั้นให้แจ่มแจ้งแก่ประชาชนทั้งหลายและพวกเจ้าจะต้องไม่ปิดบังมัน แล้วพวกเขาก็เหวี่ยงมันไว้เบื้องหลังของพวกเขาและได้แลกเปลี่ยนมันกับราคาอันเล็กน้อย ช่างเลวแท้ๆ สิ่งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนมา

188.

เจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ปิติยินดีต่อสิ่งที่พวกเขากระทำและชอบที่จะได้รับการชมเชยในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำนั้น (จะรอดพ้นการลงโทษไปได้)ดังนั้นเจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาดว่า พวกเขาจะมีทางรอดพ้นจากการลงโทษไปได้และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ

189.

และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

190.

แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการที่กลางวันและกลางคืนตามหลังกันนั้นแน่นอนมีหลายสัญญาณ สำหรับผู้มีปัญญา

191.

คือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮ์ ทั้งในสภาพยืน และนั่ง และในสภาพที่นอนตะแคงและพวกเขาพินิจพิจารณากันในการสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน (โดยกล่าวว่า)โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิได้ทรงสร้างสิ่งนี้มาโดยไร้สาระมหาบริสุทธิ์พระองค์ท่านโปรดทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด

192.

โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์แท้จริงผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เข้าไฟนรกแน่นอนพระองค์ก็ยังความอัปยศแก่เขาแล้ว และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ

193.

โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์!แท้จริงพวกข้าพระองค์ได้ยินผู้ประกาศเชิญชวนผู้หนึ่งกำลังประกาศเชิญชวนให้มีการศรัทธาว่าท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเจ้าเถิดและพวกข้าพระองค์ก็ศรัทธากัน โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์!โปรดทรงอภัยแก่พวกข้าพระองค์ด้วย ซึ่งบรรดาโทษของพวกข้าพระองค์และโปรดลบล้างให้พ้นจากพวกข้าพระองค์ ซึ่งบรรดาความผิดของพวกข้าพระองค์และโปรดทรงให้พวกข้าพระองค์สิ้นชีวิตโดยร่วมอยู่กับบรรดาผู้ที่เป็นคนดีด้วยเถิด

194.

โอ้พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์!และได้โปรดประทานแก่พวกข้าพระองค์สิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้แก่พวกข้าพระองค์โดยผ่านบรรดาร่อซู้ลของพระองค์และโปรดอย่าได้ทรงยังความอัปยศแก่พวกข้าพระองค์ในวันปรโลกเลยแท้จริงพระองค์นั้นไม่ทรงผิดสัญญา

195.

แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่าแท้จริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตามโดยที่บางส่วนของพวกเจ้านั้นมาจากอีกบางส่วน บรรดาผู้ที่อพยพและที่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมู่บ้านของพวกเขา และได้รับความเดือดร้อนในทางของข้าและได้ต่อสู้และถูกฆ่าตายนั้น แน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเขาซึ่งบรรดาความผิดของพวกเขาและแน่นอนข้าจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้นทั้งนี้เป็นรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีการตอบแทนอันดีงาม

196.

อย่าให้การเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในเมืองลวงเจ้าได้เป็นอันขาด

197.

มันเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น แล้วที่อยู่ของพวกเขานั้น คือ ญะฮันนัมและช่างเป็นที่พักนอนที่เลวร้ายจริงๆ

198.

แต่บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขานั้นสำหรับพวกเขาคือบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้นโดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาล ทั้งนี้เป็นสถานที่รับรองที่มาจากอัลลอฮ์ และสิ่งที่มีอยู่ ณ อัลลอฮ์นั้นคือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับผู้ที่เป็นคนดีทั้งหลาย

199.

และแท้จริงในหมู่ผู้ได้รับคัมภีร์นั้นมีผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขาในฐานะผู้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์โดยที่พวกจะไม่แลกเปลี่ยนโองการของอัลลอฮ์กับราคาอันเล็กน้อยชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขา ณพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาแท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน

200.

โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงมีความอดทนและจงต่างอดทนซึ่งกันและกันเถิดและจงประจำอยู่ชายแดน และพึงกลัวเกรงอัลลอฮ์เถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ