1. |
อะลีฟ ลาม มีม |
2. |
นี่คือคัมภีร์ (ของอัลลอฮ์) ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในนั้น มันเป็นทางนำสำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้า |
3. |
ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย และพวกเขาดำรงการนมาซ และใช้จ่าย (ในหนทางของเรา)จากสิ่งที่เรา ได้ประทานให้แก่พวกเขา |
4. |
ผู้ที่ศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เจ้า และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมาก่อนหน้าเจ้า และเชื่อมั่นในโลกหน้า |
5. |
คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อยู่บนทางนำ จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ |
6. |
แท้จริง สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ (สิ่งเหล่านี้) นั้นย่อมเสมอกันกับพวกเขาไม่ว่าเจ้าจะตักเตือน พวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะไม่ศรัทธา |
7. |
อัลลอฮ์ ได้ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขา และหูของพวกเขา และบนดวงตาของพวกเขานั้นก็มีสิ่งปกปิดอยู่ และสำหรับคนพวกนี้ ก็คือการลงโทษอันมหันต์ |
8. |
และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้ายแต่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาเลย |
9. |
พวกเขา พยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ศรัทธา แต่พวกเขาไม่ได้หลอกลวงใครนอกจากพวกเขาเอง และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่ |
10. |
ในหัวใจของพวกเขานั้นมีโรค ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงได้เพิ่มโรคนั้นให้มากขึ้นและการลงโทษอันเจ็บปวด จะมีไว้สำหรับพวกเขา สำหรับการที่พวกเขาโกหก |
11. |
เมื่อใดก็ตามที่ได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงอย่าสร้างความเสียหาย ขึ้นในแผ่นดินพวกเขาจะตอบว่า แท้จริงแล้ว เราเป็นผู้ฟื้นฟูต่างหาก |
12. |
จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง พวกเขาเป็นผู้ก่อความเสียหาย แต่พวกเขาหาได้ตระหนักไม่ |
13. |
และเมื่อได้มีการบอกกับพวกเขาว่า จงศรัทธาอย่างจริงใจเหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายศรัทธา พวกเขาจะกล่าวว่าจะให้เราศรัทธาเหมือนกับผู้ที่โฉดเขลาศรัทธากระนั้นหรือ จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขาเองนั่นแหละที่โฉดเขลาแต่พวกเขาหารู้ไม่ |
14. |
และเมื่อพวกเขา ได้พบบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็เป็นผู้ศรัทธาแต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพังกับบรรดาหัวโจกของพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวว่า แท้จริงเราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงแต่ จะเยาะเย้ยคนพวกนี้เท่านั้น |
15. |
(พวกเขา หาได้ตระหนักสักนิดไม่ว่า) อัลลอฮ์กำลังเยาะเย้ยพวกเขาอยู่และทรงปล่อยให้พวกเขาดื้อดึงต่อไป ในความระเหระหนอย่างมืดบอด |
16. |
เหล่านี้คือ คนที่แลกเปลี่ยนความหลงผิดกับทางนำ แต่นี่เป็นการค้าที่ไม่ก่อกำไรและพวกเขา ก็ไม่ได้อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง |
17. |
สภาพของพวกเขาอาจอุปมาได้ดังชายคนหนึ่งได้จุดไฟขึ้น และเมื่อมันส่องสว่างสิ่งที่รอบๆเขา อัลลอฮ์ก็ได้เอาแสงสว่างนั้น ออกไปจากตาของพวกเขาและปล่อยพวกเขาไว้ในความมืดทึบ ที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด |
18. |
พวกเขาหูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด ดังนั้นพวกเขาจะไม่กลับมา (ยังหนทางที่ถูกต้อง) |
19. |
หรือ (สภาพของพวกเขา ยังอาจอุปมาได้) ดั่งฝนหนักที่กำลังตกมาจากฟากฟ้าที่ตามมาด้วยความมืดทึบ ฟ้าร้องและฟ้าแลบ (เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฟ้าลั่น) พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดหูของพวกเขา ให้พ้นจากเสียงฟ้าผ่า เพราะหวาดกลัวความตาย(แต่พวกเขาลืมไปว่า) อัลลอฮ์ นั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธไว้ในทุกด้าน |
20. |
สายฟ้าแลบ ทำให้พวกเขาตกใจ ราวกับว่ามันจะเฉี่ยวเอาการมองเห็น ไปจากพวกเขาเมื่อใดที่พวกเขาเห็นแสง พวกเขาก็เดินคืบหน้าไป แต่เมื่อมันมืดทึบแก่พวกเขาพวกเขาก็หยุดยืน และถ้าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะขจัดการได้ยินของพวกเขาและการเห็นของพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพ เหนือทุกสิ่ง |
21. |
มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้าและบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว |
22. |
ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคาและทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้นเพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้วก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ |
23. |
และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเราก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง(ในความสงสัยก็จงทำ) |
24. |
แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง |
25. |
และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่าสำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านคราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้นและจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลายจะพักอยู่ในนั้นตลอดไป |
26. |
บรรดาผู้ปฏิเสธกล่าวว่าอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร โดยคำเปรียบเทียบนี้ อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้หลายคนหลงทาง และทรงนำทางหลายคน สู่หนทางที่ถูกต้องโดยสิ่งเดียวกันนี้แต่พระองค์ มิได้ทรงปล่อยให้ผู้ใดหลงนอกจากผู้ฝ่าฝืน |
27. |
ผู้ทำลายสัญญาของอัลลอฮ์ หลังจากที่รับรองมันแล้วและผู้ตัดขาดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญชาให้สัมพันธ์ และผู้ก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดินเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ขาดทุน |
28. |
สูเจ้า ปฏิเสธอัลลอฮ์ได้อย่างไร ในเมื่อความจริงแล้ว สูเจ้าไม่มีชีวิตมาก่อนแล้วพระองค์ได้ทรงให้ชีวิตแก่สูเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ จะทรงทำให้สูเจ้าตายแล้วทำให้สูเจ้ามีชีวิตอีก แล้วสูเจ้า จะถูกนำกลับไปยังพระองค์ |
29. |
พระองค์ คือผู้ทรงสร้าง ทุกสิ่งที่อยู่บนโลกเพื่อสูเจ้า แล้วพระองค์ได้ทรงหันไปยังท้องฟ้า และทรงจัดลำดับมันเป็นเจ็ดชั้นฟ้าและพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง |
30. |
จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่าฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่าพระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่าแท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้ |
31. |
แล้วพระองค์ ได้ทรงสอนอาดัม ถึงนามของทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงนำมันมาเสนอต่อมลาอิกะฮ์ และถามว่า จงบอกแก่ฉันซึ่งชื่อของสิ่งเหล่านี้ถ้าสูเจ้าแน่ใจ (ในการคิดว่า การแต่งตั้งตัวแทน จะก่อให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย) |
32. |
บรรดามลาอิกะฮ์ตอบว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ เราไม่มีความรู้อันใดนอกจากที่พระองค์ได้ทรงสอนเรา แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาน |
33. |
พระองค์จึงกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย จงบอกนามของสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา (เมื่ออาดัมได้บอกพวกเขาถึงนามของสิ่งเหล่านั้นแล้ว) พระองค์ได้ทรงประกาศว่าฉันมิได้บอกสูเจ้าหรือว่า ฉันรู้ดียิ่งถึงสิ่งเร้นลับแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันรู้ดียิ่ง ถึงสิ่งที่สูเจ้าเปิดเผยและที่สูเจ้าปิดบัง |
34. |
แล้วพระองค์ได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงคำนับอาดัม มลาอิกะฮ์ทั้งหมดได้คำนับนอกจากอิบลีสที่ปฏิเสธไม่ยอมทำ มันยโสโอหังและเป็นผู้ปฏิเสธ |
35. |
และเราได้กล่าวว่า อาดัมเอ๋ย เจ้าและคู่ครองของเจ้า จงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์และจงกินตามความพอใจของเจ้าทั้งสอง จากสิ่งที่มีอยู่ในนั้นแต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ มิเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้ละเมิด |
36. |
แต่ต่อมา มารร้ายได้หลอกลวงทั้งสอง ด้วยต้นไม้นั้น(เพื่อมิให้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา) และได้นำเขาทั้งสอง ออกจากสภาพที่เคยอยู่และเราได้ประกาศว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่ เจ้าต่างเป็นศัตรูกันและเจ้าจะมีที่พัก และปัจจัยยังชีพบนโลก ชั่วระยะเวลาหนึ่ง |
37. |
ในเวลานั้น อาดัมได้เรียนถ้อยคำที่เหมาะสมจากพระผู้อภิบาลของเขา และสำนึกผิดดังนั้น พระองค์ จึงได้รับการสำนึกผิดของเขา แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
38. |
(ก่อนที่อาดัมจะออกจากสวนสวรรค์) เราได้กล่าวว่า เจ้าทั้งหมดจงออกไปจากที่นี่และถ้ามีทางนำจากฉันมายังเจ้า แล้วผู้ใด ปฏิบัติตามทางนำของฉัน พวกเขาก็จะไม่มีความหวาดกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม |
39. |
และผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธ และกล่าวเท็จต่ออายะฮ์ทั้งหลายของเรา พวกเขาก็คือสหายของไฟที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น |
40. |
โอ้วงศ์วานของอิสราเอลเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปราน ที่ฉันได้ประทานให้แก่พวกสูเจ้าและจงปฏิบัติ ตามสัญญาของฉันให้ครบ ส่วนฉันจะปฏิบัติตามสัญญาของฉันที่ทำกับพวกสูเจ้าให้ครบด้วย และเฉพาะฉันเท่านั้นที่พวกสูเจ้าต้องเกรงกลัว |
41. |
และจงศรัทธา (ในกุรอาน) ที่ฉันได้ประทานลงมา เพราะมันยืนยันคัมภีร์ที่สูเจ้ามีอยู่และจงอย่าแลกเปลี่ยน อายะฮ์ทั้งหลายของฉัน ด้วยราคาเพียงเล็กน้อยและเฉพาะฉันเท่านั้น ที่สูเจ้าจะต้องสำรวมตน |
42. |
และจงอย่าเคล้าความจริง ด้วยความเท็จ และจงอย่าปิดบังความจริง ทั้งๆที่เจ้ารู้อยู่ |
43. |
และจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต และจงโค้งคำนับต่อฉัน ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับ |
44. |
สูเจ้า กำชับคนอื่นให้ปฏิบัติตามคุณธรรม แต่สูเจ้า กลับลืมตัวเองกระนั้นหรือทั้งๆที่สูเจ้าอ่านคัมภีร์ แล้วสูเจ้ายังไม่ใช้ปัญญาอีกหรือ |
45. |
และจงขอความช่วยเหลือ ด้วยความอดทนและการนมาซ แน่นอน การนมาซนั้นเป็นงานหนักแต่ไม่ใช่กับบรรดาผู้ถ่อมตน |
46. |
ผู้ที่ตระหนักว่าในที่สุด พวกเขาจะได้พบ กับพระผู้อภิบาลของพวกเขาและพวกเขาจะกลับไปยังพระองค์ |
47. |
วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย จงรำลึก ถึงความโปรดปรานของฉัน ที่ฉันได้ให้แก่สูเจ้าและจงจำไว้ว่า ฉันได้ยกย่องสูเจ้า เหนือประชาชาติทั้งหลาย |
48. |
และจงสำรวมตนต่อวันหนึ่ง เมื่อชีวิต หนึ่งไม่สามารถที่จะช่วยแทน อีกชีวิตหนึ่งได้และการขอไถ่แทนจากใคร ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ และก็จะไม่มีใครถูกไถ่แทน และคนผิดก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากใครด้วย |
49. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ช่วยสูเจ้า ให้รอดพ้น จากการเป็นทาสของคนฟิรฺเอาน์ผู้กดขี่สูเจ้า ด้วยการทรมานอันแสนสาหัส พวกเขา ฆ่าลูกชายของสูเจ้าและไว้ชีวิตลูกหญิงของสูเจ้า และในนี้ คือการทดสอบอันใหญ่หลวง สำหรับสูเจ้าจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า |
50. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้แยกน้ำทะเล เพื่อนำทางให้สูเจ้าและให้พวกสูเจ้าผ่านทางนั้น ไปได้โดยปลอดภัย และเราได้ทำให้บริวารของฟิรฺเอาน์จมน้ำไปต่อหน้าต่อตาของสูเจ้า |
51. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้เชิญมูซาเป็นเวลา 40 คืน หลังจากที่มูซาไม่อยู่พวกสูเจ้าก็ได้เอาลูกวัวขึ้นบูชา ดังนั้น พวกสูเจ้าจึงเป็นผู้อธรรม |
52. |
แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้ยกโทษให้สูเจ้า หลังจากนั้นเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้ขอบคุณ |
53. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่ (สูเจ้ากำลังสร้างความอธรรม) เรา ได้ประทานคัมภีร์และเกณฑ์ตัดสินสิ่งถูก และสิ่งผิดแก่มูซา เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้อยู่ในทางนำ |
54. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าว แก่ประชาชนของเขาว่า ประชาชนของฉันเอ๋ยแท้จริง พวกท่าน ได้กระทำผิดต่อตัวพวกท่านเอง ที่ไปเอาลูกวัวมาบูชา ดังนั้น พวกท่านควรจะหันไปยังพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน เพื่อขอลุแก่โทษและจงฆ่าผู้กระทำผิดในหมู่พวกท่าน นี่เป็นการดีที่สุด สำหรับพวกท่านในสายตาของพระผู้ทรงบังเกิดพวกท่าน แล้วพระองค์ ได้ทรงนิรโทษสูเจ้า เพราะพระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
55. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้าได้กล่าวว่า มูซาเอ๋ย เราจะไม่เชื่อท่านจนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮ์ (พูดกับท่าน) ด้วยตาเราเอง ทันใดนั้นเองสายฟ้าก็ได้ฟาดลงมายังพวกสูเจ้า ในขณะที่สูเจ้ากำลังมองอยู่ จนสูเจ้าล้มสิ้นชีวิตไป |
56. |
หลังจากนั้น เราก็ได้ให้สูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อที่ว่าสูเจ้า จะได้ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานอันนี้ |
57. |
(จงนึกถึงเมื่อ) เราได้ให้เมฆมายังสูเจ้า และเราได้ประทาน มันนะและซัลวาเป็นอาหารสำหรับสูเจ้า และกล่าวว่า จงกินจากสิ่งที่ดี ที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้า(แต่กระนั้นก็ตาม บรรดาบรรพบุรุษของสูเจ้า ก็ยังละเมิดคำบัญชาของเรา) อย่างไรก็ตามพวกเขามิได้อธรรมต่อเรา หากแต่พวกเขาอธรรม ต่อตัวของพวกเขาเอง |
58. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้กล่าวว่า จงเข้าไปยังเมืองนี้และจงกินจากสิ่งที่มีอยู่ในเมือง ตามที่สูเจ้าต้องการ แต่จงเข้าประตูไปอย่างนอบน้อมและจงกล่าวคำ ฮิตเตาะตุน แล้วเราจะอภัยความผิดของสูเจ้า และเราจะเพิ่มพูนรางวัลแก่ผู้ประกอบการดี |
59. |
แต่บรรดาผู้อธรรม ได้เปลี่ยนถ้อยคำที่ถูกกล่าวแก่เขา ให้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นเราจึงได้ส่งการลงโทษจากเบื้องบน มายังบรรดาผู้อธรรมทั้งนี้เนื่องมาจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน |
60. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซา ได้ขอน้ำดื่มเพื่อประชาชนของเขา แล้วเราได้กล่าวว่าจงเอาไม้เท้าของเจ้า ฟาดหินก้อนนั้น ซึ่งทำให้มีน้ำพุพุ่งออกมา จากมันสิบสองตาดังนั้น ผู้คนจากทุกเผ่า จึงได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกเขา(แล้วพวกเขาได้ถูกสั่งว่า) จงกิน และจงดื่ม จากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้และจงอย่าเป็นผู้ก่อการเสียหายขึ้นบนหน้าแผ่นดิน |
61. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เราไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอมมาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่าแทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่านจะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศและความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะเขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรมนั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด |
62. |
จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีนที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม |
63. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้า และเราได้ยกตูรฺขึ้นเหนือสูเจ้าและกล่าวว่า จงยึดมั่น ต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้า และจงรำลึกถึง(หลักธรรมคำสอน) ที่อยู่ในนั้น เพื่อที่สูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว |
64. |
แต่แม้หลังจากนั้น สูเจ้าจะละทิ้งสัญญาก็ตาม หากมิใช่ความโปรดปรานและความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อสูเจ้าแล้ว สูเจ้าจะต้องอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน |
65. |
และพวกสูเจ้า ก็รู้ดีถึงเรื่องราวของผู้คนในหมู่สูเจ้า ที่ละเมิดวันเสาร์ เราจึงได้กล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า จงเป็นลิงที่ถูกรังเกียจ |
66. |
ดังนั้น เราได้ทำให้จุดจบของพวกเขา เป็นการเตือนแก่บรรดาผู้คนในเวลานั้นและแก่คนรุ่นหลัง และเป็นข้อตักเตือน สำหรับผู้ที่สำรวมตนจากความชั่ว |
67. |
และจงนึกถึง เมื่อตอนที่มูซาได้กล่าวแก่คนของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงบัญชาพวกท่าน ให้เชือดวัวตัวหนึ่ง พวกเขาตอบว่า ท่านกำลังล้อเล่นกับเราใช่ไหมมูซาตอบว่า ฉัน ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ให้พ้นจากการประพฤติเยี่ยงผู้โง่เขลา |
68. |
แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า จงขอพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกรายละเอียดให้กระจ่างด้วยว่ามันเป็นอย่างไร มูซาได้กล่าวว่า พระองค์ตรัสว่า เป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่และไม่อ่อน แต่เป็นวัววัยปานกลาง ดังนั้น จงทำตามที่ท่านถูกบัญชาเถิด |
69. |
พวกเขาได้ถามต่อไปอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้บอกถึงสีของวัวให้เป็นที่กระจ่างแก่เราด้วย มูซาได้ตอบว่า พระองค์ตรัสว่า วัวตัวนั้นควรจะมีสีเหลืองเข้มสดใส เป็นที่ต้องใจแก่ผู้พบเห็น |
70. |
พวกเขายังกล่าวอีกว่า จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้กำหนดชนิดของวัวที่ต้องการให้แก่เรา เพราะวัวนั้น มีลักษณะคล้ายกันโดยทั่วไป แล้วเรา จะได้หามันพบถ้าหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ |
71. |
มูซากล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า วัวตัวนั้นเป็นวัวที่ไม่เคยถูกเทียมคันไถ ให้ไถดินและไม่เคยถูกใช้ให้ทดน้ำเข้านา เป็นวัวที่สมบูรณ์ ปราศจากตำหนิตามตัวแล้วพวกเขาก็ร้องออกมาว่า ท่านได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้เชือดวัวตัวนั้นพลี โดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ |
72. |
และจงนึก เมื่อตอนที่สูเจ้าฆ่าชายคนหนึ่ง และสูเจ้าก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้แต่อัลลอฮ์ก็ได้นำเรื่อง ที่สูเจ้าปิดบังออกมาเปิดเผย |
73. |
ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า จงฟาดศพของคนที่ถูกฆ่าด้วยส่วนหนึ่งของวัวที่ถูกเชือดพลี จงดูว่าอัลลอฮ์ ทรงทำให้คนตายกลับฟื้นมีชีวิตได้อย่างไร และพระองค์ ได้ทรงแสดงสัญญาณให้เห็นเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เข้าใจ |
74. |
แต่ถึงแม้จะได้เห็นสัญญาณเหล่านี้แล้วก็ตามหัวใจของสูเจ้าก็ยังกระด้างเป็นหินหรือยิ่งกว่าหินเสียอีก อย่างไรก็ตามในบรรดาหินนั้นก็มีบางก้อนที่มีสายน้ำพุ่งออกมาจากมันและมีบางก้อนที่แตกออกและมีน้ำไหลออกมาแล้วก็มีบางก้อนที่ทลายลงมาด้วยความกลัวต่ออัลลอฮ์และอัลลอฮ์มิทรงเฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ |
75. |
(โอ้มุสลิมทั้งหลาย)แล้วสูเจ้ายังจะหวังว่าคนเหล่านี้จะยอมรับคำเชิญชวนของสูเจ้าและเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือในขณะที่ในหมู่พวกเขามีบางคนที่ได้ยินถ้อยคำของอัลลอฮ์แล้วเข้าใจมันดีแต่กลับไปบิดเบือนมันเสียทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี |
76. |
และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ที่ศรัทธา พวกเขากล่าวว่า เราก็ศรัทธาด้วยแต่เมื่อพวกเขาอยู่กับคนอื่นตามลำพัง พวกเขากล่าวว่าพวกท่านไม่คิดหรือว่าที่พวกท่านไปบอกเล่าถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่ท่านนั้นจะเป็นสิ่งที่พวกเขานำมันมาเป็นข้อพิสูจน์ต่อท่านต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกท่าน |
77. |
พวกเขาไม่รู้จริง ๆ หรือว่าอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบังและที่พวกเขาเปิดเผย
|
78. |
และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้อ่านเขียนไม่เป็น ไม่รู้คัมภีร์นอกจากจะอาศัยเรื่องไร้สาระต่าง ๆ และตามการนึกเดาไปเท่านั้นเอง |
79. |
ดังนั้น ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของพวกเขาแล้วกล่าวว่านี่มาจากอัลลอฮ์ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนราคาเล็กน้อยบางอย่าง(พวกเขาไม่เห็นว่า) สิ่งที่เขียนด้วยมือของพวกเขาจะนำความวิบัติมายังพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นก็นำพวกเขาไปสู่ความหายนะ |
80. |
และพวกเขากล่าวว่า ไฟนรกจะไม่สัมผัสเรา และถ้าหากมันจะสัมผัสเรามันก็จะเป็นเพียงสองสามวันเท่านั้น จงกล่าวเถิดพวกท่านได้รับสัญญาจากอัลลอฮ์ที่พระองค์จะไม่ทรงบิดพลิ้วกระนั้นหรือหรือพวกท่านกล่าวร้ายต่ออัลลอฮ์ ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้ |
81. |
ทำไมไฟนรกจะไม่สัมผัสพวกท่าน ใครก็ตามที่ขวนขวายการชั่วและหมกมุ่นอยู่กับการบาปเขาเหล่านั้นก็คือสหายของไฟนรก และพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้น |
82. |
ส่วนบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดี จะเป็นผู้ที่ได้อยู่ในสวรรค์และพำนักอยู่ที่นั่นตลอดไป |
83. |
และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับวงศ์วานของอิสรออีลว่าจงอย่าเคารพภักดีผู้ใดเว้นแต่อัลลอฮ์ จงทำดีต่อบิดามารดา ต่อญาติสนิท เด็กกำพร้าผู้ขัดสน และจงสนทนากับผู้คนโดยดี จงดำรงนมาซและจ่ายซะกาตแต่พวกสูเจ้าได้หันหลังกลับให้มัน และไม่ใส่ใจมันยกเว้นส่วนน้อยจากหมู่สูเจ้าเท่านั้น |
84. |
จงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้าว่าสูเจ้าต้องไม่หลั่งเลือดพวกของสูเจ้าและต้องไม่ขับไล่พวกของสูเจ้าออกจากบ้านของสูเจ้าและสูเจ้าก็ได้รับรองและสูเจ้าก็เป็นพยานอยู่ด้วย |
85. |
แต่หลังจากนั้น ทั้ง ๆ ที่มีสัญญาแล้วสูเจ้าก็ยังฆ่าพวกพ้องของสูเจ้าและขับไล่พวกของสูเจ้าเองออกจากบ้านของสูเจ้าและหนุนหลังพวกเขาในการบาปและการเป็นศัตรู และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้าในฐานะเชลยสูเจ้าก็ไถ่พวกเขาทั้ง ๆ ที่การขับไล่พวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้าแล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์ และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ ดังนั้นไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้และในวันฟื้นขึ้น พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮ์มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ |
86. |
เหล่านี้คือคนที่ซื้อชีวิตของโลกนี้แทนโลกหน้า ดังนั้นการลงโทษพวกเขาจะไม่ถูกลดหย่อน และพวกเขาจะไม่ถูกช่วยเหลือ |
87. |
และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาและหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีรอซูลสืบต่อเนื่องกันมาและเราได้ส่งอีซาลูกของมัรยัมมาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้งและเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์แล้วมันเป็นอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อมีรอซูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่จิตใจของสูเจ้าไม่ชอบสูเจ้าก็กระด้างกระเดื่องต่อเขา กล่าวเท็จต่อเขาและฆ่าเขา |
88. |
และพวกเขากล่าวว่า หัวใจของพวกเรามั่นคงปลอดภัย แต่ความจริงก็คืออัลลอฮ์ได้ประณามสาปแช่งพวกเขา เพราะการที่พวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาจึงมีน้อยนักที่ศรัทธา |
89. |
แล้วตอนนี้พวกเขาปฏิบัติต่อคัมภีร์จากอัลลอฮ์ที่ได้มายังพวกเขาอย่างไรถึงแม้ว่ามันจะยืนยันคัมภีร์ที่พวกเขามีอยู่แล้ว ถึงแม้ก่อนที่มันจะมาพวกเขาเคยวิงวอนขอชัยชนะต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังปฏิเสธมันถึงแม้ว่าพวกเขารู้ ดังนั้นการสาปแช่งจากอัลลอฮ์จึงมีแก่พวกปฏิเสธ |
90. |
ช่างชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขาหลอกลวงตัวของพวกเขาเองพวกเขาปฏิเสธทางนำที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเพียงเพราะพวกเขาริษยาว่าทำไมอัลลอฮ์ถึงได้ประทานความโปรดปรานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ดังนั้น พวกเขาจึงได้ก่อให้เกิดความกริ้วแล้วกริ้วอีก และสำหรับพวกปฏิเสธนั้นคือการลงโทษอันแสนสาหัส |
91. |
และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า จงศรัทธาตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมาพวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาแต่เฉพาะในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่เราและพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทั้ง ๆที่มันเป็นสัจธรรมและยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้น จงถามพวกเขาว่าถ้าหากพวกท่านศรัทธาอย่างจริงใจ ทำไมพวกท่านถึงได้ฆ่านบีของอัลลอฮ์(ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน จากในหมู่ของพวกท่านเอง) |
92. |
(ยิ่งไปกว่านั้น) มูซาก็ได้มายังสูเจ้าพร้อมกับสัญญาณต่าง ๆ อันชัดแจ้งแต่เมื่อเขาไปจากสูเจ้าได้ไม่เท่าไหร่ สูเจ้าก็เป็นผู้ละเมิดเอาลูกวัวมาบูชา |
93. |
และจงนึกถึงสัญญาที่เราได้ทำกับสูเจ้าในขณะที่เราได้ยกภูเขาฏูรเหนือสูเจ้าเราได้สั่งว่า จงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้าและจงฟังคำบัญชาของเราพวกเขากล่าวว่า เราได้ยินแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟังพวกเขาฝักใฝ่ไปในทางปฏิเสธจนในหัวใจของพวกเขานั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยลูกวัวจงบอกพวกเขาเถิด (มุฮัมมัด) ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาจริงศรัทธาของพวกท่านก็เป็นศรัทธา ที่บัญชาพวกท่านให้ทำสิ่งชั่วช้าเช่นนั้น |
94. |
จงบอกพวกเขาว่า ถ้าหากที่พำนักแห่งปรโลก ที่อัลลอฮ์ได้ถูกสำรองไว้สำหรับพวกท่านเป็นการเฉพาะ และมิใช่สำหรับมนุษย์อื่นแล้ว พวกท่านก็เรียกหาความตายเถิดถ้าหากพวกท่านจริงใจ ต่อสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้าง |
95. |
แต่ (จงเชื่อเถิดว่า) พวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้นหรอก เพราะ (พวกเขารู้ดีถึงผลของ)สิ่งที่พวกเขาได้ส่งไปก่อนหน้านั้นแล้ว และอัลลอฮ์ ทรงรู้ดีถึงความคิดของพวกอธรรม |
96. |
เจ้าจะได้พบว่า ในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด พวกเขาเป็นผู้ที่โลภเพื่อชีวิตมากที่สุดไม่ พวกเขา โลภยิ่งกว่าพวกบูชารูปปั้นเสียอีกพวกเขาแต่ละคนอยากที่จะมีอายุยืนถึงพันปีแต่นี่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากการถูกลงโทษได้ แม้จะมีอายุยืนก็ตามและอัลลอฮ์ ทรงเห็นทุกอย่างที่พวกเขากระทำ |
97. |
จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ใครก็ตามที่เป็นศัตรูต่อญิบรีลควรจะเข้าใจว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์ เขาได้นำกุรอานมายังหัวใจของเจ้าเป็นที่ยืนยันสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้ามัน และเป็นทางนำและข่าวดีสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา |
98. |
(ถ้าหากความเป็นศัตรูของพวกเขาต่อญิบรีลมีสาเหตุมาจากสิ่งนี้ก็ขอให้พวกเขาเข้าใจว่า) ผู้ใดเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์ มลาอิกะฮ์และรอซูลของพระองค์ญิบรีลและมีกาล ดังนั้น อัลลอฮ์ ทรงเป็นศัตรูต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ |
99. |
เราได้ประทานอายะฮ์ทั้งหลายอันชัดแจ้ง มายังเจ้าแล้ว และไม่มีผู้ใดปฏิเสธมันนอกจากพวกฝ่าฝืน |
100. |
และทุกครั้งที่พวกเขาได้ทำสัญญา พวกเขากลุ่มหนึ่งมิใช่หรือที่ได้ทิ้งสัญญามิใช่เช่นนั้น พวกเขาส่วนมากต่างหากที่ไม่ศรัทธา |
101. |
และเมื่อใดก็ตามที่รอซูลจากอัลลอฮ์มายังพวกเขาเป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขาชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งก็จะโยนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ไว้ข้างหลังประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร |
102. |
และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล)ที่พวกวายร้ายได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมานทั้งที่ความจริงแล้ว สุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธแต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธพวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูตและมารูต มลาอิกะฮ์สองคนที่บาบิล (บาบิโลน)เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะฮ์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใดเขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่าเราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธแต่ถึงแม้จะเตือนแล้วคนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะฮ์ทั้งสองซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างสามีและคู่ครองของเขาถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ์แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาและไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขายิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลยช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาไป เพื่อมันถ้าหากว่าพวกเขารู้ |
103. |
ถ้าหากพวกเขาศรัทธาในอัลลอฮ์ และสำรวมตนจากความชั่ว พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนที่ดีกว่าจากอัลลอฮ์ ถ้าหากว่าพวกเขาได้รู้ |
104. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า รออินา แต่จงกล่าวว่า อุนซุรนาและจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด |
105. |
บรรดาผู้ปฏิเสธสารแห่งสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นชาวคัมภีร์ หรือพวกบูชาเทวรูปไม่ปรารถนาที่จะเห็นความดีใด ๆ จากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าถูกส่งมายังสูเจ้าทั้ง ๆที่อัลลอฮ์ทรงเลือกที่จะประทานความเมตตาของพระองค์ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยเฉพาะ และอัลลอฮ์คือเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง |
106. |
อายะฮ์ใด ที่เราได้ยกเลิกหรือถูกทำให้ลืมเลือนเราก็ได้นำที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยที่สุดก็เท่าเทียมกันมาทดแทน สูเจ้าไม่รู้หรือว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง |
107. |
สูเจ้าไม่รู้หรือว่าอำนาจแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮ์และสูเจ้าไม่มีผู้ใดเป็นผู้คุ้มครอง และผู้ช่วยเหลือนอกจากอัลลอฮ์
|
108. |
หรือสูเจ้าอยากจะถามรอซูลของสูเจ้าดังที่มูซาได้ถูกถามแต่ก่อนนี้และผู้ใดที่เอาการปฏิเสธมาแลกการศรัทธาเขาผู้นั้นก็หลงไปจากทางที่เที่ยงตรง |
109. |
ส่วนมากของชาวคัมภีร์ ต้องการที่จะหันสูเจ้ากลับมายังการปฏิเสธหลังจากการศรัทธาของสูเจ้า ทั้งนี้เนื่องด้วยความอิจฉาของพวกเขาหลังจากที่สัจธรรมได้เป็นที่แจ่มแจ้ง แก่พวกเขาแล้ว ดังนั้นสูเจ้าจงแสดงความอดทนและให้อภัยแก่พวกเขาจนกว่าอัลลอฮ์จะได้มีพระบัญชาลงมา(ดังนั้นขอให้แน่ใจได้ว่า) อัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง |
110. |
และจงดำรงนมาซและจ่ายซะกาต และความดีอันใดที่สูเจ้าได้ประกอบไว้ก่อนสำหรับตัวสูเจ้าสูเจ้าก็จะพบมันที่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่สูเจ้ากระทำ |
111. |
พวกเขากล่าวว่า ไม่มีใครที่จะได้เข้าสวรรค์เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียน นี่คือความหวังอันเลื่อนลอยของพวกเขาจงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า จงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถ้าพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง |
112. |
ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ใครก็ตามที่ยอมมอบตนต่ออัลลอฮ์ และเป็นผู้กระทำการดีเขาก็จะได้รับการตอบแทนจากพระผู้อภิบาลของเขา และจะไม่มีความกลัวและความระทมสำหรับพวกเขา |
113. |
และพวกยิวกล่าวว่าพวกคริสเตียนไม่มีสิ่งใด (แห่งสัจธรรม)และพวกคริสเตียนก็กล่าวว่าพวกยิวก็ไม่มีสิ่งใด ทั้ง ๆที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็อ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันนั้นและพวกที่ไม่มีความรู้เรื่องคัมภีร์ก็ยังกล่าวอ้างเช่นเดียวกันนั้น ดังนั้นอัลลอฮ์จะตัดสินเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ |
114. |
และผู้ใดเล่าที่อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ห้ามการเข้าไปในมัสญิดทั้งหลายของอัลลอฮ์เพื่อกล่าวรำลึกถึงพระนามของพระองค์ภายในนั้นและพยายามที่จะทำลายมันคนพวกนี้ไม่สมควรที่จะเข้าไปในนั้นเว้นแต่พวกเขาจะเข้าไปด้วยความยำเกรงสำหรับพวกเขาในโลกนี้คือความอัปยศอดสู และการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก |
115. |
ทั้งตะวันออก และตะวันตกเป็นของอัลลอฮ์ สูเจ้าจะพบอัลลอฮ์ ในทุกทิศทางที่สูเจ้าผินหน้าของสูเจ้าไป แท้จริงอัลลอฮ์ คือผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้ |
116. |
และพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์ ได้เอามนุษย์มาเป็นบุตร มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ผู้ทรงอยู่เหนือสิ่งเช่นนั้น ความจริงแล้ว อะไรก็ตาม ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นของพระองค์ และทุกสรรพสิ่ง ล้วนภักดีต่อพระองค์ |
117. |
พระองค์ คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน เมื่อพระองค์ ทรงกำหนดกิจการใดพระองค์เพียงแต่กล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา |
118. |
และบรรดา (พวกมุชริกีน) ผู้ไม่รู้อะไรเลยได้กล่าวว่า หากอัลลอฮ์ ไม่เจรจากับเรา(โดยตรง) หรือไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ มาสู่พวกเรา (เราก็ไม่ขอเชื่อถืออย่างแน่นอน) |
119. |
เราได้ส่งเจ้า (มุฮัมมัด) พร้อมด้วยสัจธรรม และได้ทำให้เจ้าเป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือน และเจ้า จะไม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อบรรดาชาวนรก |
120. |
และชาวยิวและชาวคริสต์นั้น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาดจนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริง คำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขาหลังจากที่มีความรู้มายังเจ้า แล้ว ก็ย่ามไม่มีผุ้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใดๆสำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ |
121. |
บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขาโดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์อย่างจริงๆชนเหล่านี้แหละคือ ผู้ที่ศรัทธาต่อคคัมภีร์นั้นไซร้แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน |
122. |
วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงรำลึกถึงความกรุณาของข้า ที่ข้าได้กรุณาต่อพวกเจ้าและแท้จริง ข้าได้เทิดพวกเจ้าเหนือประชาชาติ ทั้งหลาย |
123. |
และจงเกรงกลัววันหนึ่งซึ่งในวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใดและการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ใครและผู้ที่ทำผิดทั้งหลายจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ |
124. |
จงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ทรงทดสอบอิบรอฮีมในบางสิ่งแล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ทรงตรัสว่าฉันจะทำให้เจ้าเป็นผู้นำของมนุษยชาติ เขาได้ถามว่าสัญญานี้รวมถึงลูกหลานของฉันด้วยหรือ พระองค์ตรัสว่า สัญญาของฉันไม่แผ่ถึงพวกอธรรม |
125. |
และจงรำลึกถึงขณะที่เรา ได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัยและพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่ละหมาดเภิดและเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และ อิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้าเพื่อบรรดาผู้ทำการเฏาะวาป และบรรดาผู้ทำการ เอียติกาฟและบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด |
126. |
และจงรำลึกถึงยณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์โปรดทรงให้ที่นี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือ ผุ้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขาพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธาข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรกและเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง |
127. |
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น(ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของ พวกข้าพระองค์โปรดรับ (งาน)จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยิน และทรงรอบรู้ |
128. |
พระผู้อภิบาลของเราได้ทรงโปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานของเราเป็นชนชาติที่นอบน้อมต่อพระองค์ขอได้ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงโปรดนิรโทษแก่เราโดยปรานีแน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
129. |
พระผู้อภิบาลของเราได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮ์ทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขาและสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด แน่แท้พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ |
130. |
แล้วใครเล่าที่จะหันเหออกไปจากแนวทางของอิบรอฮีมนอกจากผู้ที่โฉดเขลาต่อตัวเขาเองแน่นอน อิบรอฮีมคือผู้ที่เราได้เลือกมาเพื่อรับใช้เราในโลกนี้ และแท้จริง ในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่กัลยาณชน |
131. |
จงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิด เขากล่าวว่าข้าพระองค์ได้สวามิภักดิ์แด่พระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว |
132. |
ในทำนองเดียวกัน อิบรอฮีมได้สั่งลูก ๆ ของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกันยะอ์กู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูก ๆ ของเขาเช่นกันว่า ลูก ๆ ของฉันเอ๋ยอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นจงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย |
133. |
หรือว่าพวกเจ้าอยู่ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอ์กูบ ขณะที่เขากล่าว แก่ลูกๆของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพสักการะอะไร หลังจากฉัน? พวกเขากล่าวว่าพวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของทาน และพระเจ้าแห่งบรรดาบิดาของท่าน คือ อิบรอฮีมอิสมาอีล และ อิสหาก แต่เพียงองค์เดียว และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น |
134. |
นั้นคือ หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมได้แก่พวกเขาและสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ |
135. |
และพวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงเป็นยิวเถิด หรือ เป็นคริสต์เถิดพวกท่านก็จะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) หาใช่เช่นนั้นไม่แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหาก และเขาไม่เคยเป็นผุ้สักการะเจว็ด |
136. |
จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า เราศรัทธาในอัลลอฮ์และทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เราและที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหาก ยะอ์กู๊บและลูกหลานของเขาและที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา อีซาและที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลายจากพระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลายเรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์ |
137. |
แล้วหากพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับข้อแนะนำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกันแล้วอัลลอฮ์ก็จะทางให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขาและพระองค์นั้นเป็นผุ้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้ |
138. |
การย้อมของอัลลอฮ์ และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่า อัลลอฮ์ และพวกเราจะเป็นผู้เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ |
139. |
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าพวกท่าน จะโต้แย้งกับเราในเรื่องของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ?ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และ พระเจ้าของพวกท่าน และบรรดาการงานของเราก็ย่อมเป็นของเรา และบรรดาการงานของพวกท่าน ก็เป็นของพวกท่าน และพวกเรานั้นจะเป็นผู้มอบการอิบาดะฮ์ทั้งหลายให้แก่พระองค์เท่านั้น |
140. |
หรือว่าพวกท่านจะกล่าวว่า แท้จริง อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสหาก และยะอ์กูบและบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น เป็นยิว หรือเป็นคริสต์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)พวกท่านรู้ดี ยิ่งกว่าอัลลอฮ์กระนั้นหรือ หรือ อัลลอฮ ? แล้วผู้ใดจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮ์ ซึ่งมาอยู่ที่เขา และ อัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่ |
141. |
นั่นคือ กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน |
142. |
บรรดาผู้โฉดเขลา ในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่าอะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบลัตของพวกเขาที่พวกเขาเคยผินไป จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก นั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้นพระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง |
143. |
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลางเพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซู้ลก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไปนอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซู้ลจากผู้ที่กำลังหันส้นเท่าทั้งสองของเขากลับและแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป ก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา แก่มนุษย์เสมอ |
144. |
แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้งแน่นอนเราจะให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลหะรอมเถิดและที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้นและแท้จริงบรรดาผุ้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่า มันคือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และ อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน |
145. |
และแน่นอน ถ้าหากเจ้า ได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดง แก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัติของพวกเขาและบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากเจ้าได้ปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้วแน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ ผู้อธรรม |
146. |
บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขาดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของเขาเองและแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่ |
147. |
ความจริงนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า ของเจ้าดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด |
148. |
และทุกคนต่างมีทิศทางที่จะหันไปสู่การนมาซ ดังนั้น จงแข่งขันซึ่งกันและกันในความดีไม่ว่าสูเจ้าจะอยู่ไหน อัลลอฮ์จะทรงนำสูเจ้ามารวมกัน แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง |
149. |
ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอมเพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้าและอัลลอฮ์ไม่ทรงเป็นผู้เฉยเมยในสิ่งที่เจ้ากระทำ |
150. |
และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัลมัสยิดิ้ลหะรอมและที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้นเพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใดๆ แก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขาแต่จงกลัวข้าเถิด และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วน แก่พวกเจ้าและเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง |
151. |
ดังที่เราได้ส่งร่อซู้ลผู้หนึ่ง จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้าซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสอาดบริสุทธิ์และจะสอนคัมภีร์ และความรู้ เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้าและจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน |
152. |
ดังนั้นพวกเราจงรำลึกถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า และจงขอบคุณข้าเถิดและจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย |
153. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและจงนมาซเพราะอัลลอฮ์จะทรงอยู่กับบรรดาผู้ที่อดทน |
154. |
และจงอย่ากล่าวว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์ว่า พวกเขาตาย ความจริงแล้วพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่สูเจ้าหาได้ตระหนักถึงชีวิตนั้นไม่ |
155. |
และแน่นอน เราจะทดสอบสูเจ้าโดยการให้สูเจ้าอยู่ในความกลัวและความหิวและโดยการให้สูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทน |
156. |
คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์ |
157. |
ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับคำชมเชย แบะการเอ็นดูเมตตาจากพระเจ้าของพวกเขาและชนเหล่านี้แหละคือผุ้ที่ได้รับข้อแนะนำอันถูกต้อง |
158. |
แท้จริงภูเขา เศาะฟา และภูเขามัรวะฮ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีฮัจญ์ หรืออุมเราะฮ์ ณ บัยตุลลอฮก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทีจะเดินวนเวียนไปมา ณ ภูเขาทั้งสองนั้นและผู้ใดประกอบความดีโดยสมัครใจแล้ว แน่นอนอัลลอฮ์นั้น คือผู้ทรงขอบใจและผู้ทรงรอบรู้ |
159. |
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และข้อแนะนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมาหลังจากที่เราได้ชี้แจงมันไว้แล้วในคัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละอัลลอฮ์จะทรงขับไล่พวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์และผู้สาปแช่งทั้งหลายก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย |
160. |
นอกจากผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว และปรับปรุงแก้ไข และขี้แจงสิ่งที่ปกปิดไว้ชนเหล่านี้ ข้าจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา และข้าคือผู้อภัยโทษ และเมตตาเสมอ |
161. |
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะได้รับการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮ์และจะได้รับการสาปแช่ง จากมลาอิกะฮ์ และมนุษย์ทั้งมวล |
162. |
พวกเขาจะอยู่ในการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮ์ และการสาปแช่งจากมลาอิกะฮ์และมนุษย์ตลอดกาล โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่ตัวเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอในการลงโทษ |
163. |
และพระเจ้าของสูเจ้านั้นคืออัลลอฮ์องค์เดียวไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
164. |
แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวันและเรือที่วิ่งอยู่ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์ แก่มนุษย์และน้ำที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยน้ำนั้น หลังจากที่มันตายไปแล้ว และได้ทรงให้สัตว์ แต่ละชนิด แพร่สะพัดไปในแผ่นดินและในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก่โลก)ผันแปรไประหว่างฟากฟ้า และแผ่นดินนั้น แน่นอน ล้วนเป็นสัญญาณนานาประการแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา |
165. |
และในหมุ่มนุษย์นั้น มีผุ้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจาออัลลอฮ์ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮมากยิ่งกว่า และหากบรรดาผู้อธรรมจะได้เห็นขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษอยู่นั้น (แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า)แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง |
166. |
(และ) ขณะที่บรรดาผุ้ถูกตาม ได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผุ้ตามและขณะที่พวกเขาเห็นการลงโทษ และขณะที่บรรดาสัมพันธภาพที่มีต่อกันได้ขาดสบั้นลง |
167. |
และบรรดาผู้ที่ตามได้กล่าวว่า หากว่าเรามีโอกาสกลับไปอีกครั้งหนึ่งเราก็จะปลีกตัวออกจากพวกเขาบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเราในทำนองเดียวนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาเห็นงานต่างๆของพวกเขาเป็นที่น่าเสียใจแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาจะไม่ได้ออกจากไฟนรกด้วย |
168. |
มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดินและจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของมารเพราะมารเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า |
169. |
ที่จริง มันเพียงแต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่ว และสิ่งลามกเท่านั้นและจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จ ให้แก่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ |
170. |
และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามคำบัญชาที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมาพวกเขาตอบว่า เราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติ ทั้ง ๆที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ใช้สติปัญญาและไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ |
171. |
และอุปมาบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น ดังผู้ที่ส่งเสียงตวาดสิ่งที่มันฟังไม่รู้เรื่อง นอกจาก เสียงเรียกและเสียงตะโกนเท่านั้น พวกเขาคือคน หูหนวกเป็นใบ้ ตาบอดดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าใจ |
172. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงกินสิ่งที่ดีและสะอาดที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้าและจงขอบคุณต่ออัลลอฮ์ถ้าหากพระองค์เท่านั้นที่สูเจ้าเคารพภักดี |
173. |
อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามสูเจ้าเฉพาะสิ่งเหล่านี้ สัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกรสัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นนอกไปจากอัลลอฮ์แต่ถ้าหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขันโดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ได้ละเมิดมันก็ไม่มีบาปแก่เขาเพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
174. |
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมา และนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อยชนเหล่าน้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องเขาพวกเขา นอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์อัลลอฮ์ จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้ พวกเขาบริสุทธิ์แลพวกเขาจะได้รับการ ลงโทษอันเจ็บแสบ |
175. |
ชนเหล่านี้ คือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูก ต้องไปแลกเปลี่ยนกับแนวทางที่หลงผิดและเอาการ อภัยโทษไปแลกเปลี่ยนกับการลงโทษ พวกเขาช่างทนต่อไฟนรกเสียนี่กระไร |
176. |
นั้นก็เพราะว่า อัลลอฮ์ได้ทรงประทาน คัมภีร์ลงมาพร้อมด้วยสัจธรรม และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งกันในคัมภีร์นั้น ย่อมอยู่ในการแตกแยก ที่ห่างไกล |
177. |
หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้า ของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตกแต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และ วันปรโลก และศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์ต่อบรรดา คัมภีร์ และนบีทั้งหลาย และบริจาคทรัพย์ ทั้งๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้นแก่บรรดาญาติที่สนิท และบรรดาเด็กกำพร้า และแก่บรรดาผู้ยากจนและผู้ที่อยู่ในการเดินทาง และบรรดาผู้ที่มาขา และบริจาคในการไถ่ทาสและเขาได้ดำรงไว้ซึ่ง การละหมาด และการชำระซะกาต และ (คุณธรรม นั้น)คือบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกเขาโดย ครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้และบรรดาผู้ที่ อดทนในความทุกข็ยาก และในความเดือดร้อน และขณะต่อสู้ในสมรภูมิชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ พูดจริง และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรง |
178. |
ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การประหารฆาตกรให้ตายตามในกรณีที่มีผู้ถูกฆ่าตายนั้นได้ถูกกำหนด แก่พวกเจ้าแล้วคือชายอิสระต่อชายอิสระ และ ทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่สิ่งหนี่งจากพี่น้องของเขาถูกอภัยให้แก่เขาแล้ว ก็ให้ปฏิบัติ ไปตามนั้นโดยชอบและให้ชำระแก่เขาโดยดี นั้นคือ การผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเจ้า และคือการเอ็นดูเมตตาด้วย แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ |
179. |
และในการประหารฆาตกรให้ตายตาม นั้น คือการธำรงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเจ้า โอ้ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง |
180. |
การทำพินัยกรรมให้แก่ผู้บังเกิดเกล้า ทั้งสอง และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมนั้นได้ถูกกำหนดขึ้นแก่พวกเจ้าแล้ว เมื่อความตายได้ มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้าหากเขาได้ทั้งทรัพย์ สมบัติไว้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่แก่ผู้ยำเกรงทั้งหลาย |
181. |
แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลัง จากที่เขาได้ยินมันแล้ว โทษแห่งการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้น ก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้นแท้จริงอัลลอฮ์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ |
182. |
แล้วผู้ใดเกรงว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความไม่เป็นธรรม (โดยไม่รู้) หรือกระทำความผิด(โดยเจตนา) แล้ว แล้วเขาได้ประนีประนอมในระหว่าง พวกเขา ก็ไม่มีโทษใดๆ แก่เขาแท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ |
183. |
บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอด นั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้วเช่นเดียวกับที่ได้ ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้ามาแล้วเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง |
184. |
(คือถูกกำหนดให้ถือ) ในบรรดาวันที่ถูก นับไว้แล้วผู้ใดในพวกเจ้าป่วยหรืออยู่ในการเดิน ทางก็ให้ถือใช้ในวันอื่นและหน้าที่ของบรรดาผู้ที่ ถือศีลอดด้วยความลำบากยิ่าง (โดยที่เขาได้งดเว้น การถือ)นั้น คือการชดเชยอันได้แก่การให้อาหาร (มื้อหนึ่ง) แก่คนมิสกีนคนหนึ่ง(ต่อการงดเว้น จากการถือหนึ่งวัน) แต่ผู้ใดกระทำความดีโดยสมัครใจมันก็เป็นความดีแก่เขา และการที่พวกเจ้าจะ ถือศีลอดนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้ |
185. |
เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่ อัลกุรอาน ได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อ แนะนำนั้นและเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่าง ความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ครบถ้วนซึ่งจำนวนวัน (ของเดือนรอมฏอน) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ ทรงแนะนำแก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะขอบคุณ |
186. |
และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้า แล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้า ดังนั้นพวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง |
187. |
ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเจ้าในค่ำคืนของการถือศีลอด นางทั้งหลายนั้นคือเครื่องนุ่มห่มของพวกเจ้าและพวกเจ้าก็คือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง อัลลอฮ์ทรงรู้ว่าพวกเจ้านั้นเคยทุจริตต่อตัวเอง แล้วพระองค์ก็ทรงยกโทษให้แก่พวกเจ้าและอภัยให้แก่พวกเจ้าแล้ว บัดนี้พวกเจ้าจงสมสู่กับพวกนางได้และแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกเจ้าเถิด และจงกิน และดื่มจนกระทั่งเส้นขาว จะประจักษ์แก่พวกเจ้าจากเส้นดำ เนื่องจากแสงรุ่งอรุณแล้วพวกเจ้าจงให้การถือศีลอดครบเต็ม จนถึงพลบค่ำ และพวกเจ้าจงอย่าสมสู่กับพวกนางขณะที่พวกเจ้าเอียะติก๊าฟอยู่ในมัศยิด นั่นคือบรรดาขอบเขตของอัลลอฮ์ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้ขอบเขตนั้น ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการ ของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง |
188. |
และจงอย่าแย่งชิงทรัพย์สินกันและกันโดยวิธีการที่มิชอบธรรมและจงอย่าเสนอให้แก่ผู้พิพากษาเพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้กลืนกินสมบัติส่วนหนึ่งของคนอื่นโดยไม่เป็นธรรมทั้งๆ ที่สูเจ้ารู้ดีอยู่ |
189. |
เขาเหล่านั้นจะถามเจ้า เกี่ยวกับเดือน แรกขึ้น จงกล่าวเถิด มันคือกำหนดเวลาต่างๆสำหรับมนุษย์ และสำหรับประกอบพิธีฮัจญ์ และหาใช่เป็นคุณธรรมไม่ในการที่พวกเจ้าเข้าบ้าน ทางหลังบ้าน แต่ทว่าคุณธรรมนั้นคือผู้ที่ยำเกรง ต่างหากและพวกเจ้าจงเข้าบ้านทางประตูบ้าน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ |
190. |
และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่ารุกรานแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน |
191. |
และจงประหัตประหารพวกเขา ณ ที่ใด ก็ตามที่พวกเจ้าพบพวกเขา และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก และ การก่อความวุ่นวายนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการประหัตประหารเสียอีก และจงอย่าสู้รบกับพวกเขา ณอัล-มัสยิดิลหะรอม จนกว่าพวกเขาจะทำร้าย พวก เจ้าในที่นั้นหากพวกเขาทำร้ายพวกเจ้าแล้วก็จง ประหัตประหารพวกเขา เสีย เช่นนั้นแหละคือการตอบแทนแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา |
192. |
แล้วถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอน อัลลอฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
193. |
และจงต่อสู้พวกเขาต่อไปจนกว่าจะไม่มีการกดขี่ข่มเหงและแนวทางของอัลลฮ์ได้ถูกสถาปนาขึ้นมาแทนดังนั้น ถ้าพวกเขาหยุดยั้งก็จงอย่าให้มีการเป็นปรปักษ์ต่อไปเว้นแต่กับผู้ที่กดขี่ข่มเหงและโหดเหี้ยม |
194. |
เดือนที่ต้องห้ามนั้น ก็ด้วยเดือนที่ต้อง ห้าม และบรรดาสิ่งจำเป็นต้องเคารพนั้นก็ย่อม มีการตอบโต้เยี่ยงเดียวกัน ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวก เจ้า ก็จงละเมิดต่อเขาเยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวก เจ้า และพึงยำเหรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ไว้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงทั้ง หลาย |
195. |
จงใช้จ่ายทรัพย์สินของสูเจ้าในหนทางของอัลลอฮ์และจงอย่าโยนตัวของสูเจ้าเองลงไปสู่ความพินาศด้วยมือของเจ้าเองจงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องดี เพราะอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ทำสิ่งดี |
196. |
และพวกเจ้าจงให้สมบูรณ์ ซึ่งการทำ ฮัจญ์ และการทำอุมเราะฮ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด แล้วถ้าพวกเจ้าถูกสกัดกั้น ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ ง่ายและจงอย่าโกนศีรษะของพวกเจ้าจนกว่า สัตว์พลีนั้นจะถึงที่ของมัน แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยลง หรือที่เขามีสิ่งก่อความเดือดร้อนจาก ศีรษะของเขา ก็ให้มีการชดเชยอันได้แก่การถือศีลอด หรือการทำทานหรือการเชือดสัตว์ ครั้น เมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้วผู้ใดที่แสวงหาประโยชน์ จนกระทั่งถึงฮัจญ์ด้วยการทำอุมเราะฮ์แล้ว ก็ให้เชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่าย ผู้ใดที่หาไม่ได้ ก็ให้ถือศิลอดสามวันในหระหว่างการทำฮัจญ์ และอีกเจ็ด วันเมื่อพวกเจ้ากลับบ้านนั้นคือครบสิบวัน ดังกล่าว นั้น สำหรับผู้ที่ครอบครัวของเขามิได้ประจำอยู่ที่อัล-มัสยิดิลหะรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์ เถิด และถึงรู้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผุ้ทรง ลงโทษที่รุนแรง |
197. |
(เวลา) การทำฮัจญ์นั้นมีหลายเดือนอัน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วดังนั้นผู้ใดที่ได้ให้การทำ ฮัจญ์จำเป็นแก่เขาในเดือนเหล่านั้น แล้ว ก็ต้องไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาท ใดๆ ใน (เวลา) การทำฮัจญ์และความดีใดๆ ที่ พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮ์ทรงรู้ดี และพวกเจ้า จงเตรียมเสบียงเถิดแท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้น คือความยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด โอ้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย! |
198. |
ไม่มีโทษใดๆ แก่พวกเจ้า การที่พวก เจ้าจะแสวงหาความกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใดจากพระเจ้าของพวกเจ้า ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้หลั่งไหล กันออกจากอะเราะฟาตแล้วก็จงกล่าวรำลึกถึง อัลลอฮ์ ณ อัล-มัชอะริลหะรอม และจงกล่าว รำลึกถึงพระองค์ดังที่พระองค์ได้ทรงแนะนำ พวกเจ้าไว้ และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่หลงทาง |
199. |
แล้วพวกเจ้าจงหลั่งไหลกันออกไปจาก ที่ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไป และจงขออภัยต่ออัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผุ้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
200. |
ครั้นเมื่อพวกเจ้าประกอบพิธีฮัจญ์ของ พวกเจ้าเสร็จแล้ว ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ดังที่ พวกเจ้ากล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเจ้า หรือ กล่าวรำลึกให้มากยิ่งกว่าในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าว ว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเราในโลกนี้เถิด และเขาจะไม่ได้รับส่วนดีใดๆ ใน ปรโลก |
201. |
และในหมู่พวกเขานั้น มีผู้ที่กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเราซึ่ง สิ่งดีงามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในปรโลก และโปรดคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากลงโทษแห่งไฟนรก ด้วยเถิด |
202. |
ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาจะได้รับส่วนดี จากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน |
203. |
และพวกเจ้าจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ในบรรดาวันที่ถูกนับไว้ แล้วผู้ใดรีบกลับในสองวันก็ไม่มีโทษใดๆ แก่เขา และผู้ใดรั้งรอไปอีก ก็ไม่มีโทษใดๆแก่เขา (ทั้งนี้)สำหรับผู้ที่ มีความยำเกรง และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่าพวกเจ้านั้นจะถูกนำไปชุมนุมยัง พระองค์ |
204. |
และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่คำพูดของเขาทำให้เจ้าพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ และเขาจะอ้างอัลลอฮ์เป็นพยานซึ่งสิ่งที่อยู่ใน หัวใจของเขา และขณะเดียวกันก็เป็นผู้โต้เถียงที่ ฉกาจฉกรรจ์ยิ่ง |
205. |
และเมื่อเขาให้หลังไปแล้ว เขาก็เพียร พยายามในแผ่นดิน เพื่อก่อความเสียหายในนั้นและทำลายพืชผล และเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮ์นั้น ไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย |
206. |
และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ความผยองก็เกาะกุมเขาและชักนำให้เขาทำบาป สำหรับคนพวกนี้ นรกคือที่ ๆเหมาะสมสำหรับพวกเขา และมันเป็นที่พำนักอันแสนชั่วร้าย |
207. |
และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ที่ขายตัวของ เขาทั้งนี้เพื่อแสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงปรานีแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย |
208. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเข้าสู่อิสลามโดยสมบูรณ์ และจงอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมารเพราะมันเป็นศัตรูที่เด่นชัดของสูเจ้า |
209. |
ถ้าหากสูเจ้าถลำตัวไปทำความชั่วหลังจากได้รับคำสอนอันชัดแจ้งที่มายังสูเจ้าแล้วจงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ |
210. |
และพวกเขามิได้คอยอะไร นอกจากการที่อัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ จะมายังพวกเขาในร่มเงาจากเมฆ และเรื่องนั้นได้ถูกชี้ขาดไว้แล้วและยังอัลลอฮ์นั้นเรื่องราวทั้งหลายจะถูก นำกลับไป |
211. |
เจ้าจงถามวงศ์วานอิสรออีลดูเถิดว่า สัญญานอันชัดเจนกี่มากน้อยแล้วที่เราได้นำมายังพวกเขา และผู้ใดเปลี่ยนแปลงความกรุณาของอัลลอฮ์หลังจากที่มันได้มายังเขาแล้ว แน่นอน อัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรง |
212. |
ชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นได้ถูก ประดับให้สวยงามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายและพวกเขายังเย้ยหยันบรรดาผู้ที่ศรัทธาด้วย แต่ บรรดาผู้ยำเกรงนั้นเหนือกว่าพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮ์จะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยปราศจากการคำนวณนับ |
213. |
มนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮ์ได้ส่งบรรดานบีมาในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วยเพื่อว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวก เขาขัดแย้งกันและไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่รับคัมภีร์นั้นมา หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้นทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธาซึ่ง ความจริงที่พวกเขาขัดแยังกันด้วยอนุมัติของพระ องค์และอัลลอฮ์นั้นทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง |
214. |
หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า ยังมิได้มายังพวกเจ้าเลยซึ่งบรรดาความลำบาก และความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับความหวั่นไหว จนกระทั่งรอซูลและ บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไร เล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ฦ พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว |
215. |
ผู้คนทั้งหลายถามว่า อะไรที่เราควรจะใช้จ่าย จงบอกพวกเขาว่าอะไรก็ตามที่สูเจ้าใช้จ่าย จงใช้จ่ายมันสำหรับพ่อแม่และญาติสนิท เด็กกำพร้าผู้ขัดสนและคนเดินทาง และความดีอันใดที่สูเจ้าได้กระทำไป อัลลอฮ์ทรงรู้ดี |
216. |
สูเจ้าได้ถูกบัญชาให้ออกสู่สงครามและสูเจ้ารังเกียจมันแต่มันอาจเป็นว่าสูเจ้ารังเกียจสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีสำหรับสูเจ้าและบางทีสูเจ้ารักสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นมันเลวสำหรับสูเจ้า อัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้แต่สูเจ้าไม่รู้ |
217. |
พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับเดือนต้องห้าม ซึ่งการสู้รบในเดือนนั้นจงกล่าวเถิดว่า การสู้รบ ในเดือนนั้นเป็นสิ่งใหญ่โตและการขัดขวางให้ออก จากทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธการศรัทธาต่อพระองค์ และการกีดกัน อัลมัสยิดิ้ลหะรอม ตลอดจนการขับไล่ขาวอัลมัสยิดิ้ลหะรอมออกไปนั้น เป็นสิ่งใหญ่โตยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์และการฟิตนะฮ์ นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่าและพวกเขาจะยังคงต่อสู้พวกเจ้าต่อไป จนกว่าพวกเขาจะทำให้พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของพวกเจ้า หากพวกเขาสามารถและผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลงขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และ ปรโลกและชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก ซึ่งพวกเขา จะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
|
218. |
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่อพยพและได้เสียสละต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์นั้น ชนเหล่านี้แหละที่หวังในความเมตตาของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ |
219. |
พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมา และการพนัน จงกล่าวเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษมากและมีคุณหลายอย่างแก่มนุษย์ แต่โทษของมันทั้งสองนั้น มากกว่าคุณของมันและพวกเขาจะถามเจ้าว่า พวกเขาจะบริจาคสิ่งใด? จงกล่าวเถิดว่าสิ่งที่เหลือจากการใช้จ่าย ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮ์จะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ |
220. |
ทั้งในโลกนี้และปรโลก และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับบรรดาเด็กกำพร้า จงกล่าวเถิดว่าการแก้ไขปรับปรุงใดๆ ให้แก่พวกเขานั้น เป็นสิ่งดียิ่งและถ้าหากพวกเจ้าจะร่วมอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็คือ พี่น้องของพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีถึงผู้ที่ก่อความเสียหาย จากผู้ที่ปรับปรุงแก้ไขและหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรง ให้พวกเจ้าลำบากไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน |
221. |
และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงมุชริก จนกว่านางจะศรัทธาและทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธานั้น ดียิ่งกว่าหญิงที่เป็นมุชริก แม้ว่านางได้ทำให้พกเจ้าพึงใจก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าให้แต่งงาน กับบรรดาชายมุชริกจนกว่าพวกเขาจะศรัทธา และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธานั้นดีกว่า ชายมุชริกและแม้ว่าเขาได้ทำให้พวกเจ้าพึงใจก็ตาม ชนเหล่านี้แหละจะชักชวนไปสู่ไฟนรกและอัลลอฮ์ นั้นทรงเชิญชวนไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยโทษ ด้วยอนุมัติของพระองค์และพระองค์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์ แก่มนุษย์เพื่อว่าพวกเขาจะได้รำลึกกันได้ |
222. |
และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน จงกล่าวเถิดว่า มันเป็นสิ่งให้โทษดังนั้นพวกเจ้า จงห่างไกลหญิง ในขณะมีประจำเดือน และจงอย่าเข้าใกล้นางจนกว่านางจะสะอาด ครั้นเมื่อนาง ได้ชำระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงมาหานางตามที่อัลลอฮ์ทรงใช้พวกท่าน แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงชอบบรรดาผู้สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว และทรงชอบ บรรดาผู้ที่ทำตนให้สะอาด |
223. |
บรรดาหญิงของพวกเจ้านั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงมายังแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า ตามแต่พวกเจ้าประสงค์ และจงประกอบล่วงหน้าไว้สำหรับตัวของพวกเจ้า และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และพึงรู้ด้วยว่า แท้จริงพวกเจ้านั้น จะเป็นผู้พบกับพระองค์ และเจ้า จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิด |
224. |
จงอย่าใช้พระนามของอัลลอฮ์มาสาบานในสิ่งที่ขัดขวางสูเจ้าจากคุณธรรม การสำรวมตนและสวัสดิการของมนุษยชาติ แท้จริง อัลลอฮ์ทรงได้ยินและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง |
225. |
อัลลอฮ์จะไม่ให้สูเจ้ารับผิดชอบต่อคำสาบานที่ไร้สาระและไม่ได้เจตนาของสูเจ้าแต่พระองค์จะถือเอาคำสาบานที่สูเจ้าทำขึ้นโดยมีเจตนา แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงขันติ |
226. |
สำหรับบรรดาผู้ที่สาบานว่า จะไม่สมสู่ภรรยาของเขานั้น ให้มีการรอคอยไว้สี่เดือนแล้วถ้าหากเขากลับคืนดี แน่นอนอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ |
227. |
และถ้าพวกเขาปลงใจ ซึ่งการหย่าแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ |
228. |
และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนาง จะต้องรอคอยต้วของตนเองสามกุรูอฺและไม่อนุมัติให้แก่พวกนาง ในการที่พวกนางจะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้บังเกิดขึ้น ในมดลูกของพวกนางหากพวกนางศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกและบรรดาสามีของพวกนางนั้นเป็นผู้มีสิทธิกว่า ในการให้พวกนางกลับมาในกรณีดังกล่าวหากพวกเขาปรารถนาประนีประนอม และพวกนางนั้นจะได้รับเช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกนาง จะต้องปฏิบัติโดยชอบธรรมและสำหรับบรรดาชายนั้น มีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาน |
229. |
การหย่านั้นมีสองครั้ง แล้วให้มีการยับยั้งไว้โดยชอบธรรม หรือไม่ก็ให้ปล่อยไปพร้อมด้วยการทำความดี และไม่อนุญาติแก่พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง (มะฮัร)นอกจากทั้งสองเกรงว่า จะไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้เท่านั้นถ้าหากพวกเจ้าเกรงว่าเขาทั้งสองจะไม่ดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์แล้วไซร้ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่เขาทั้งสองในสิ่งที่นางใช้มันไถ่ตัวนางเหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮ์ พวกเจ้าจงอย่าละเมิดมันและผู้ใดละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์แล้ว ชนเหล่านั้นแหละ คือผู้ที่อธรรมแก่ตัวเอง |
230. |
ถ้าหากเขาได้หย่านางอีก นางก็ไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขา หลังจากนั้นจนกว่าจะแต่งงานกับสามีอื่นจากเขา แล้วหากสามีนั้นหย่านาง ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่ทั้งสองที่จะคืนดีกันใหม่ หากเขาทั้งสองคิดว่า จะดำรงไว้ซึ่งขอบเขตของอัลลอฮ์ได้และนั่นแหละ คือขอบเขตของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงแจกแจงมันอย่างแจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ดี |
231. |
และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วพวกนางถึงกำหนดเวลา ของพวกนางแล้วก็จงยับยั้งนางไว้ โดยชอบธรรม หรือ ไม่ก็จงปล่อยนางไปโดยชอบธรรม และพวกเจ้าจงอย่ายับยั้งพวกนางไว้โดยมุ่งก่อความเดือดร้อน เพื่อพวกเจ้าจะได้ข่มเหงรังแกและผู้ใดกระทำเช่นนั้น แน่นอนเขาก็ข่มเหงตนเอง และจงอย่าถือเอาโองการของอัลลอฮ์เป็นที่เย้ยหยัน และพึงระลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ที่มีแก่พวกเจ้าและสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้า อันได้แก่คัมภีร์ และบทบัญญัติ(ที่มีอยู่ในคัมภีร์นั้น) ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คัมภีร์นั้น แนะนำตักเตือนพวกเจ้าและพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงรู้ด้วยว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง |
232. |
และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาหญิง แล้วนางเหล่านั้น ได้ถึงกำหนดเวลของพวกนางแล้วก็จงอย่าขัดขวางพวกนาง ในการที่พวกนาง จะแต่งกับบรรดาคู่ครองของพวกนางเมื่อพวกเขาต่างพอใจกันระหว่างพวกเขา โดยชอบธรรม นั่นแหละคือสิ่งที่จะถูกนำมาแนะนำตักเตือน แก่ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก นั่นแหละคือสิ่งที่บริสุทธิ์กว่า และสะอาดกว่า สำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้แต่พวกเจ้าไม่รู้ |
233. |
และมารดาทั้งหลายนั้น จะให้นมแก่ลูกๆ ของนางภายในสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการจะให้ครบถ้วนในการให้นม และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้นคือปัจจัยยังชีพของพวกนางและเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง โดยชอบธรรมไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าทีชีวิตนั้น มีกำลังความสามารถเท่านั้นมารดาก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่สามี) เนื่องด้วยลูกของนาง และพ่อเด็กก็จงอย่าได้ก่อความเดือดร้อน (ให้แก่ภรรยา) เนื่องด้วยลูกของเขาและหน้าที่ของทายาทผู้รับมรดกก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทั้งสองต้องการหย่านมอันเกิดจากความพอใจ และการปรึกษาหารือกันจากทั้งสองคน แล้วก็ไม่มีบาปใดๆแก่เขาทั้งสอง และหากพวกเจ้าประสงค์ ที่จะให้มี แม่นมขึ้นแก่ลูกๆ ของพวกเจ้าแล้วก็ย่อมไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้มอบสิ่งที่พวกเจ้าให้(แก่นางเป็นค่าตอบแทน) โดยชอบธรรม และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และถึงรู้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ |
234. |
และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ชีวิตลงในหมู่พวกเจ้า และทิ้งคู่ครองไว้นั้นพวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนางเอง สี่เดือนกับสิบวัน ครั้นเมื่อพวกนางครบกำหนดเวลาของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกนางได้กระทำไปในส่วนตัวของพวกนาง โดยชอบธรรมและอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียด ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน |
235. |
และไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเป็นในการขอหญิงและสิ่งที่พวกเจ้าเก็บงำ ไว้ในใจของพวกเจ้า อัลลอฮ์ทรงรู้ว่าพวกเจ้าจะบอกกล่าวแก่นางให้ทราบ แต่ทว่าพวก เจ้าอย่าได้สัญญาแก่นางเป็นการลับนอกจากพวกเจ้าจะกล่าวถ้อยคำอันดีเท่านั้น และจงอย่าปลงใจ ซึ่งการทำพิธีแต่งงานจนกว่าเวลาที่ถูกกำหนดไว้ จะบรรลุถึงความสิ้นสุดของมัน และพึงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์ ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า พวกเจ้าจงสังวรณ์พระองค์ไว้เถิดและพึงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงหนักแน่น |
236. |
ไม่มีบาปใดๆ แก่พวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าหย่าหญิง โดยที่พวกเจ้ายังมิได้แตะต้องพวกนางหรือยังมิได้กำหนดมะฮัรใดๆ แก่พวกนาง และจงให้นางได้รับสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่พวกนาง โดยที่หน้าที่ของผู้มั่งมีนั้น คือตามกำลังความสามารถของเขาและหน้าที่ของผู้ยากจนนั้นคือตามกำลังความสามารถของเขาเป็นการให้ประโยชน์โดยชอบธรรม เป็นสิทธิเหนือผู้กระทำดีทั้งหลาย |
237. |
และถ้าหากพวกเจ้าหย่าพวกนาง ก่อนที่พวกเจ้าจะแตะต้องพวกนางโดยที่พวกเจ้าได้กำหนดมะฮัรแก่นางแล้วก็จงให้แก่นางครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเจ้ากำหนดไว้ นอกจากว่าพวกนางจะยกให้หรือผู้ที่ตกลงแต่งงานอยู่ในมือของเขา จะยกให้และการที่พวกเจ้าจะยกให้นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้แก่ความยำเกรงมากกว่า และพวกเจ้าอย่าลืมการทำคุณในระหว่างพวกเจ้าแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นใน สิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน |
238. |
จงระวังการนมาซของสูเจ้า โดยเฉพาะการนมาซที่มีคุณสมบัติอันประเสริฐของการนมาซและจงยืนต่อหน้าอัลลอฮ์ดังบ่าวที่นอบน้อมด้วยความภักดี |
239. |
ถึงแม้สูเจ้าจะอยู่ในอันตราย สูเจ้าก็จะต้องนมาซไม่ว่าจะเป็นบนทางเท้าหรือบนหลังสัตว์พาหนะ และเมื่อสูเจ้าปลอดภัย ดังนั้นจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ดังที่พระองค์ได้ทรงสอนสูเจ้าในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้มาก่อน |
240. |
และบรรดาผู้ที่ (จวนจะ) ตายจากพวกเจ้า และต้องทิ้งบรรดาคู่ครองไว้(ในสภาพหญิงหม้าย) ก็ต้องสั่งเสียไว้ เพื่อบรรดาคู่ครองของพวกเขาซึ่งสิ่งอำนวยสุขคือ (เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นค่าเลี้ยงดูแก่พวกนาง) ให้ครบหนึ่งปีโดยนางมิได้ออก (จากบ้านไปอื่น) แต่ถ้าพวกนางออก (จากบ้าน) โดยไม่มีความจำเป็นนางก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับค่าเลี้ยงดูดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่เป็นบาปแก่พวกเจ้าในกรณีที่นางได้กระทำลงไปในเรื่องของตัวนางเอง จาก (การกระทำที่ประกอบไปด้วย)คุณธรรม (ตามบทบัญญัติทางศาสนา) และอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง |
241. |
และเป็นสิทธิแก่บรรดาหญิงที่ถูกหย่า (นางจะต้องได้) สิ่งอำนวยสุข(เป็นค่าเลี้ยงดูแก่นาง) โดยคุณธรรมเป็นหน้าที่แก่บรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย(ต้องจัดการไปตามนั้น) |
242. |
เช่นนั้นแหละ ที่อัลลอฮ์ทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้าทั้งมวลเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้ปัญญาตริตรอง |
243. |
เจ้าไม่รู้ดอกหรือ? ถึง (ประวัติของ) บรรดาผู้ที่ออกจากบ้านเมืองโดยมีจำนวนนับเป็นพันคน เพราะความกลัวตาย แต่แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงตรัสแก่พวกเขาว่าพวกเจ้าจงตายเถิด ครั้นต่อมาพระองค์ก็ชุบชีวิตพวกเขา (ขึ้นมาใหม่)แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไว้ซึ้งความโปรดปรานแก่มวลมนุษย์แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากหาได้ขอบคุณพระองค์ไม่ |
244. |
สูเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และจงรู้ไว้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ |
245. |
ใครบ้างในหมู่สูเจ้าที่จะให้การยืมที่ดีแก่อัลลอฮ์ซึ่งพระองค์จะทรงใช้คืนให้เขาหลังจากที่ได้ทรงเพิ่มมันขึ้นเป็นทวีคูณแล้วอัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงสามารถลดและเพิ่ม (ความมั่งคั่ง)และยังพระองค์ที่สูเจ้าจะคืนกลับไป |
246. |
เจ้าไม่รู้หรือ (ถึงประวัติของ) มวลชนหนึ่งจากพวกพงศ์เผ่าของอีสรออีลภายหลังจากมูซา (ได้จากโลกนี้ไปแล้ว)เมื่อพวกเขาได้กล่าวกับศาสดาองค์หนึ่งของพวกเขา (ซึ่งมีชื่อว่าซำวีล (ว่าท่านได้โปรดแต่งตั้งกษัตริย์แก่พวกเราสิ เราจะได้ออกต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ศาสดาจึงกล่าวกับพวกเขาว่าพวกท่านทั้งหลายคาดคิดไหมว่าหากพวกท่านได้ถูกบัญญัติให้ทำการรบแล้ว พวกท่านจะไม่ออกต่อสู้ พวกเขาตอบว่าและไม่มีเหตุผลใดๆสำหรับพวกเราเลยที่จะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ทั้งๆที่พวกเราถูกคับไล่ออกมาจากบ้านเมืองของเราและลูกๆของเรา ครั้นแล้วเมื่อการรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเขา พวกเขาก็หันหลังให้ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้นเอง (ที่ออกทำการรบ) และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งกับบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล |
247. |
และศาสดาแห่งพวกเขาก็ได้ประกาศแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงแต่งตั้งฏอลูตให้เป็นกษัตริย์ พวกเขาก็กล่าวว่า ไฉนเล่าจึงให้เขามาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราทั้งๆที่ความเป็นจริงพวกเราทรงสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์ยิ่งกว่าเขาเสียอีกและเขา(ฏอลูต) นั่นก็ไม่มีทรัพย์อันมั่งคั่งแต่ประการใดๆ(แล้วจะมาเป็นกษัตริย์พวกเราได้อย่างไร) เขา (ศาสดาซำวีล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงคัดเลือกตัวเขา (ฏอลูต) ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้าและพระองค์ทรงเพิ่มพูลความรู้ และ (พลังแห่ง) เรือนร่างอันกว้างขวางแก่เขาและอัลลอฮ์ทรงประทานอำนาจแห่งอาณาจักรของพระองค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮ์ทรงไพศาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง |
248. |
และศาสดาของพวกเขาได้กล่าวกับพวกเขาว่า แท้จริงสัญลักษณ์แสดงอำนาจทางอาณาจักรของเขาก็คือ จะมีหีบมายังพวกท่านซึ่งในนั้นมีความสงบมั่นจากองค์อภิบาลแห่งพวกท่าน และมีส่วนที่เหลืออยู่จากที่วงศ์วานแห่งมูซาและวงศ์วานแห่งฮารูนได้ทิ้งไว้ ซึ่งมาลาอีกะห์แบกมันมาเอง แท้จริงในนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์แด่พวกเจ้าทั้งมวล ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา |
249. |
ต่อมาเมื่อฏอลูตได้นำไพล่พลเคลื่อนออกไป (จากไบติลมักดิส) เขาก็ประกาศว่าแท้จริงอัลลอฮ์ จะทรงทดสอบพวกท่านทั้งหลาย ด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ซึ่งผู้ใดดื่มจากมันเขาก็หาใช่พวกของฉันไม่ แต่ผู้ใดไม่ดื่มมัน เขาก็เป็นพวกของฉันยกเว้นบุคคลที่ใช้มือของเขาวักน้ำเพียงครั้งเดียว ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มจากมันยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเหล่านั้น (ที่ไม่ยอมดื่ม) ต่อมาเมื่อเขาและบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่พร้อมกับเขาเดินผ่านลำน้ำนั้น พวกเขาก็กล่าวว่าในวันนี้เราต่อสู้กับญาลูฏ และไพร่พลของเขาไม่ไหวอย่างแน่นอน บรรดา (ศรัทธาชน)ที่มั่นใจว่าพวกเขาต้องได้พบกับอัลลอฮ์จึงกล่าวว่า มีตั้งเท่าไหร่แล้วกลุ่มชนที่มีเพียงเล็กน้อย สามารถพิชิตกลุ่มชนที่มากกว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์ ย่อมอยู่พร้อมกับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย |
250. |
และเมื่อพวกเขาได้ปรากฏตัว (เพื่อเปิดฉากต่อสู้) กับญาลูฏและไพร่พลของเขาพวกนั้นก็วิงวอนว่า โอ้องค์อภิบาลของเรา ขอได้โปรดหลั่งความอดทนลงให้พวกเราด้วยเถิดโปรดประทานความแน่นแฟ้นแก่เท้าของเราด้วยเถิดและโปรดช่วยเราให้มีชัยชนะแก่ชาวเนรคุณด้วยเถิด |
251. |
ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้น (ได้สำเร็จ) โดยอนุมัติของอัลลอฮ์และดาวูดได้ฆ่าญาลูฏตาย และอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานอำนาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขาและพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และมาดแม้นไม่เป็นเพราะอัลลอฮ์ทรงป้องกันมนุษย์ไว้แก่กันและกันแล้วไซร้แน่นอนที่สุดแผ่นดินก็ย่อมซึ่งหายนะ และทว่าอัลลอฮ์ ทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานแก่บรรดาชาวโลกทั้งปวง |
252. |
นั้นเป็นโองการแห่งอัลลอฮ์ ซึ่งเราแถลงมันแก่เจ้าโดยสัจจะ และแท้จริงเจ้านั้นเป็นหนึ่งจากบรรดาที่ถูกตั้งเป็นศาสนฑูต |
253. |
และบรรดาศาสนทูตเหล่านั้น เราได้ให้เกียรติแก่บางคนเหนือกว่าอีกบางคนบางคนจากพวกนั้น เป็นผู้ที่อัลเลาะฮ์ ได้ทรงตรัส (เขาคือนบีมูซา) และอัลเลาะฮ์ได้ทรงยกย่องบางคนของพวกเขา หลายฐานันดร (คือนบีมุฮำมัด)และเราได้ประทานแก่อีซาบุตรมัรยัม ซึ่ง (บรรดา) หลักฐาน ที่ชัดแจ้งและเราได้เสริมอำนาจแก่เขา ด้วยวิญญานแห่งความบริสุทธิ์ และมาตร์ว่าอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ แน่นอนบรรดา (ประชาชาติ) ผู้อยู่ในยุคหลังพวกเขาก็ไม่ต้องรบพุ่งกันภายหลังจากบรรดา (หลักฐาน) ที่ชัดแจ้งได้มาสู่พวกเขาแล้วและแต่ทว่าพวกเข้าได้พิพาทกัน ซึ่งมีบางคนของพวกเขา เป็นผู้ศรัทธาและบางคนของพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ และมาต์รว่าอัลเลาะฮ์ ทรงประสงค์แล้วไซร้แน่นอนพวกเขาก็จะรบพุ่งกัน แต่ทว่าอัลเลาะฮ์ ทรงกระทำไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์ |
254. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงใช้จ่ายทรัพย์สินที่เราได้ประทานให้แก่สูเจ้าก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งในวันนั้นจะไม่มีการซื้อขายและไม่มีมิตรภาพและไม่มีการไถ่แทนและบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ความจริงแล้วคือผู้ที่ทำความผิด |
255. |
อัลลอฮ์ (ทรงเป็นเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้นทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้นพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาและพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (จะให้พวกเขารู้) เท่านั้น เก้าอี้(คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดินและการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่งอีกทั้งทรงยิ่งใหญ่ |
256. |
ไม่มีการบังคับกันในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาสิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจำแนกแยกแยะออกจากสิ่งที่ผิดเป็นที่ชัดเจนแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธฏอฆูต และศรัทธาในอัลลอฮ์เขาก็ได้รับการสนับสนุนอันมั่นคงไม่มีวันขาด และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้ |
257. |
อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากความมืด(แห่งความโง่เขลา) สู่ความสว่าง (แห่งศรัทธา) และบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายผู้คุ้มครองพวกเขา คือมารร้าย พวกมันนำเขาออกจากความสว่างสู่ความมืดพวกเขาเป็นชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นเป็นนิรันดรกาล |
258. |
เจ้าไม่รู้หรือ เกี่ยวกับ (ประวัติของกษัตริย์นัมรูจ)ผู้โต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องผู้อภิบาลของเขา ซึ่งอัลลอฮ์ได้มอบอำนาจทางอนาจักร(บาบิโลน) แก่เขา เมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า พระผู้ทรงอภิบาลของฉันทรงประทานชีวิตและทรงประทานความตาย (แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์) เขา (นัมรูจ)กล่าวว่า ฉันเองก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้ อิบรอฮีมกล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์สามารถนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออกได้ พลัน (นัมรูจ)ผู้เนรคุณก็งงงัน (ตอบไม่ถูก) และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล |
259. |
หรืออุปมาเล่นผู้ที่ผ่านมาเมืองหนึ่ง (คือบัยติลมักดิส เยรูซาลิม ซึ่งถูกทำลายโดยบุคตะนัซซอร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนเมื่อก่อนคริสต์กาลและผู้ที่เดินทางผ่านมาคือศาสดาองค์หนึ่งชื่ออะซีซบุตรของซัคคียาอ์)และมันพังยุบลงมาทั้งหลังคาของมัน เขากล่าวว่า เมื่อใดหนออัลลอฮ์จึงจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีก หลังจากที่มันได้ตาย (พังทลาย) ไปแล้วครั้นแล้วอัลลอฮ์ ก็ทำให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก (เมื่อฟื้นแล้ว) พระองค์ก็ตรัสว่า (ถามเขา) ว่าเจ้าพักอยู่นานเท่าใด เขาทูลตอบว่า ข้าพเจ้าพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวันพระองค์ทรงตรัส (แก่เขา) ว่า ความจริงเจ้าพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปีเจ้าจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสิ มันยังไม่เน่าบูดเลยและเจ้าจงมองไปที่ลาของเจ้า (ที่ใช้ขี่มันมา) ซิ (ปรากฏว่าลาของเขาตายจนกระดูกป่นไปแล้ว) และเพื่อเราจักบันดาลให้ (เรื่องราวเกี่ยวกับ)เจ้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ และเจ้าจงมองไปที่กองกระดูก (ของลาตัวนั้น)ซิ ว่าเราทำการประกอบมัน (ให้เป็นโครงร่าง)ได้อย่างไรแล้วต่อมาเราก็หุ้มมันด้วยเนื้อครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว เขาก็กล่าวว่าแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง |
260. |
และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่าโอ้องค์อภิบาลโปรดเนรมิตให้ข้าพเจ้าได้เห็นเถิดว่าพระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างไร พระองค์ทรงดำรัสว่า เจ้าไม่เชื่อหรือ?เขากล่าวว่า มิใช่ แต่เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะได้สงบมั่นยิ่งขึ้นพระองค์ทรงดำรัสว่า ดังนั้นเจ้าจงนำนกมาสี่ตัวแล้วเจ้าจงนำมันมารวมกับพวกเจ้าหลังจากนั้น เจ้าก็จงแยกส่วนของพวกมัน (ออกเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปไว้) บนภูเขาทุกลูกหลังจากนั้นเจ้าก็จงเรียกพวกมัน แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเจ้าโดยพลันและเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชายิ่ง |
261. |
การบริจาคของบรรดาผู้ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์อาจเปรียบได้ดังเมล็ดพืชที่งอกออกมา 7 รวง และแต่ละรวงมี 100 เมล็ด ในทำนองเดียวกันอัลลอฮ์ทรงทบทวีทาน ของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์ผู้ทรงรอบรู้ |
262. |
บรรดาผู้บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์และไม่ได้ติดตามการบริจาคของพวกเขาด้วยการลำเลิกและเราะรานความรู้สึกของผู้ที่ได้รับนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีความกลัวและความระทมแต่อย่างใด |
263. |
คำพูดที่ไพเราะและการอดทนนั้น ดีกว่าการทำทานที่ตามมาด้วยการเราะรานหรือดูถูกและอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีอย่างเพียงพอ ผู้ทรงขันติ |
264. |
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าทำลายการทำทานของพวกเจ้า โดยการลำเลิกและยังความเจ็บปวด ประดุจผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์ของพวกเขาเพื่ออวดมนุษย์และเขาไม่ศรัทธาในอัลลอฮ์ และวันสุดท้ายเลย แท้จริง อุปมา (คนอย่าง) เขาก็อุปมัยดังก้อนหินเกลี้ยง ซึ่งมีดินติดอยู่บนมันต่อมามีฝนหนักได้กระหน่ำลงมาจนทิ้งมันไว้ในสภาพเกลี้ยงเกลา(ดินที่ติดอยู่แต่เดิมถูกฝนชะไม่มีเหลือ) พวกเขาไม่อาจ (ได้กุศลจากการทำทานนั้น)สักสิ่งเดียว จากที่พวกเขาได้พากเพียรไว้ และอัลลอฮ์ไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ |
265. |
และข้อเปรียบเทียบของบรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อแสวงหาความพึงพระทัยของอัลลอฮ์ และเพื่อเพิ่มความหนักแน่นแก่ตัวของพวกเขาเองก็เปรียบได้ดั่งสวนหนึ่งตั้งอยู่ ณ พื้นที่ราบสูงซึ่งมีฝนหนักกระหน่ำลงมาต่อจากนั้นก็ให้ผลิตผลของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแต่ถึงแม้นไม่มีฝนหนักกระหน่ำลงมาก็ตาม ก็ยังมีฝนอยู่ประปรายอยู่นั่นเองและอัลลอฮ์ทรงมองเห็นการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล |
266. |
คนหนึ่งคนใดจากพวกเจ้าทั้งหลายชอบไหมเล่าที่เขาจะมีสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นอินผาลัม และต้นองุ่นโดยมีธารน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องใต้ของมัน เขาได้รับในสวนนั้นซึ่งผลไม้ต่างๆและเขาก็ลุเข้าวัยชรา โดยเขายังมีลูกหลานที่อ่อนวัย ครั้นต่อมาก็มีลมพายุโหมกระหน่ำสวนนั้น โดยมีไฟในนั้นแล้วมันก็เกิดเพลิงไหม้ (หมดทั้งสวน)เช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์ทรงชี้แจงกับบรรดาโองการต่างๆเพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ใคร่ครวญ |
267. |
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริจาคทรัพย์ที่ดีบางส่วน ที่พวกเจ้าได้พากเพียรไว้และจากสิ่งที่เรา ได้ให้ผลิออกมาจากแผ่นดินพวกเจ้าและพวกเจ้าอย่าได้มุ่งเอาสิ่งเลวจากนั้นมาบริจาคทั้งๆที่พวกเจ้าเองก็ไม่ (อยากจะ)รับสิ่งนั้น นอกจากพวกเจ้าจะสะเพร่าใน (การรับ) มัน และจงทราบไว้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรวยยิ่ง อีกทั้งทรงได้รับการสรรญเสริญ |
268. |
มารร้ายได้เอาความลำบากยากจนมาข่มขู่สูเจ้า และเสี้ยมสอนสูเจ้าให้ตระหนี่ถี่เหนียวแต่อัลลอฮ์ทรงสัญญาแก่สูเจ้าซึ่งการอภัยจากพระองค์และความบริบูรณ์และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงไพบูลย์ ผู้ทรงรอบรู้ |
269. |
อันมารร้ายนั้น มันจะเอาความจนมาสัญญากับพวกเรา (เพื่อยุยงให้พวกเจ้างดบริจาค)และมันจะใช้พวกเจ้า (ให้กระทำ) แต่สิ่งที่น่าเกลียด (เช่นความตระหนี่)และอัลลอฮ์ทรงสัญญากับพวกเจ้า (ว่าจะประทาน) การอภัยจากพระองค์ และความโปรดปรานและอัลลอฮ์ทรงไพศาล อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง |
270. |
และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่พวกเจ้าได้จับจ่ายออกไป หรือพวกเจ้าได้บนไว้ในกรณีหนึ่งๆที่จริงอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้น (เป็นอันดี) และสำหรับบรรดาผู้อธรรมย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน |
271. |
ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างเปิดเผย มันก็เป็นการดี แต่ถ้าสูเจ้าบริจาคทานอย่างลับ ๆแก่คนขัดสน มันก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า เพราะมันจะลบล้างบาปบางอย่างของสูเจ้าอย่างไรก็ตาม อัลลอฮ์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ |
272. |
หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ ในการชี้นำพวกเขา และหากทว่าอัลลอฮ์ (ต่างหาก)ที่ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และความดีงาม (ทรัพย์สิน) ใดๆที่พวกเจ้าบริจาคมันย่อมเป็นของพวกตัวเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจะไม่บริจาค นอกจากเพื่อแสวงหาความพึงพระทัยจากอัลลอฮ์เท่านั้น และความดีใดที่พวกเจ้าบริจาคนั้นมันจะถูกตอบแทนครบถ้วนแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกฉ้อฉลอย่างแน่นอน |
273. |
เป็นสิทธิสำหรับผู้ถูกจำกัดตัวเองในทางของอัลลอฮ์ พวกเขาไม่สามารถที่จะจารึกไปในแผ่นดิน ผู้โง่เขลาคิดว่า พวกเขาเป็นคนรวย(ทั้งๆที่พวกเขายากไร้ยิ่ง แต่) เนื่องด้วยความสังวรณ์ตน (พวกเขาไม่ยอมขอใครกิน)เจ้ารู้จักพวกเขาได้ด้วยเครื่องหมายแห่งพวกเขา คือพวกเขาจะไม่พิรี้พิไรขอจากมนุษย์และการดีอันใด ที่พวกเจ้าบริจาคนั้น อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน |
274. |
บรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาอย่างลับ ๆและเปิดเผยทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนนั้นจะได้รับรางวัลที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาและพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม |
275. |
บรรดาผู้กินดอกเบี้ย พวกเขาจะไม่ยืนขึ้น(ฟื้นขึ้นจากสุสานในวันชาติหน้าได้อย่าท่าทางปกติ) นอกจาก(พวกเขาจะยืนขึ้นมาในท่าที) ประดุจดังผู้ที่มารร้าย สิงอยู่เนื่องจากความวิกลจริตนั้นเป็นเพราะพวกเขากล่าวว่า อันที่จริงการค้าขาย ก็เหมือนกับการดอกเบี้ยนั่นเองและอัลลอฮ์ ทรงอนุมัติการค้าขาย แต่ทรงห้ามการดอกเบี้ย ดังนั้นผู้ใดที่รับคำเตือนจากองค์อภิบาลของเขา แล้วเขาก็ยุติ (การรับดอกเบี้ย) แน่นอนสิ่ง(ดอกเบี้ย) ที่ล่วงเลยไปนั่นก็เป็นของเขา (ไม่ต้องย้อนหลัง)และการงานของเขาก็มอบแด่อัลลอฮ์ (สุดแต่พระองค์จะจัดการ) และผู้ใดย้อนกลับ(ไปสู้ธุระกิจดอกเบี้ยอีก) แน่นอนพวกเขาเป็นชาวนรก พวกเขาต้องเข้าอยู่ในนั้นนิรันดร |
276. |
อัลลอฮ์จะทรงบั่นทอนความจำเริญออกจากดอกเบี้ยและจะทรงเพิ่มพูนกุศลทานและอัลลอฮ์ไม่ทรงรักคนบาปหนาที่เนรคุณทุกคน |
277. |
สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดี และดำรงนมาซและจ่ายซะกาตพวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขาที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาและพวกเขาจะไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวและระทม |
278. |
บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเกรงกลัวอัลลอฮ์และจงละทิ้งดอกเบี้ยในส่วนที่สูเจ้ายังอาจจะได้รับถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง |
279. |
ดังนั้น หากพวกเจ้าไม่ทำ (ตามคำสั่งนี้) แน่นอนพวกเจ้า ก็จงมั่นใจเถิดว่าจะมีสงคราม (การลงโทษ) จากอัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ (ต่อพวกเจ้า)และหากเจ้าทั้งหลายกลับใจ (ไม่กินดอกเบี้ย) แน่นอนพวกเจ้าก็ได้แต่ต้นทุนแห่งทรัพย์สินของพวกเจ้า (ที่ให้กู้ไป) พวกเจ้าไม่ฉ้อฉลและไม่ถูกฉ้อฉล |
280. |
ถ้าหากลูกหนี้ของสูเจ้าอยู่ในภาวะคับแค้นก็จงผ่อนปรนให้แก่เขาจนกว่าสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้นแต่ถ้าหากสูเจ้ายกหนี้ให้เป็นทาน มันก็เป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้า ถ้าหากสูเจ้ารู้ |
281. |
จงระวังตนเอง ให้พ้นจากความทุกข์ยาก แห่งวันที่สูเจ้าจะกลับไปหาอัลลอฮ์ ณ ที่นั้นทุกชีวิต จะได้รับการตอบแทนเต็มตามที่แต่ละคนได้ขวนขวายไว้และเขาจะไม่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรม |
282. |
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าทำสัญญากู้หนี้ยืมสินกันในหนี้สินหนึ่งโดยมีกำหนดที่แน่ชัด พวกเจ้าก็จงทำบันทึกมันไว้ด้วยและจะต้องมีผู้บันทึกทำการบันทึกในระหว่างพวกเจ้า โดยความเที่ยงธรรมและผู้บันทึกจงอย่าปฏิเสธที่จะทำการบันทึก ดังที่อัลลอฮ์ได้สอนเขาไว้ ดังนั้นเขาจงบันทึกโดยให้ลูกหนี้เป็นผู้บอกให้ และเขาจงยำเกรงอัลลอฮ์ผู้ทรงอภิบาลเขาและจงอย่าบกพร่องจากนั้นสักเพียงเล็กน้อยก็ตาม (ในการบันทึกเต็มตามจำนวนที่ตกลงกู้ยืมกัน) แต่หากปรากฏว่า ผู้เป็นลูกหนี้เป็นคนโฉดเขลา(มีนิสัยฟุ้มเฟ้อประพฤติตนไม่เหมาะสม) หรือเป็นคนอ่อนแอ หรือไม่สามารถที่จะบอก(จำนวนหนี้สินได้) ก็จงให้ผู้ปกครองเขาบอกแทนด้วยความเที่ยงธรรมและพวกเจ้าจงจัดตั้งพยานขึ้นสองคน (โดยเลือก) จากบุคคลที่พวกเจ้าพอใจ จากบรรดาผู้(มีคุณสมบัติพร้อมที่จะ) เป็นพยานเพื่อวาหากนางหนึ่งจากทั้งสองหลงลืม (ข้อสัญญา)คนหนึ่งจะได้ช่วยเตือนความจำให้แก่อีกคนหนึ่งได้ และบรรดา(ผู้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น) พยาน จงอย่าปฏิเสธ (ในการเป็นพยาน)เมื่อถูกขอร้องและเจ้าทั้งหลายจงอย่าระอาที่จะทำการบันทึกมันไม่ว่า (หนี้สินนั้น)จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย หรือจำนวนมาก็ตาม จนถึงกำหนดของมัน(การกู้หนี้ที่ทำสัญญาเอกสาร ตามที่กล่าวมา) นั้น ย่อมเป็นที่ยุตติธรรมยิ่ง ณอัลลอฮ์ย่อมเป็นที่มั่นคงยิ่ง สำหรับการเป็นพยานและเป็นที่ใกล้เคียงยิ่งต่อการที่พวกเจ้าจะได้ไม่สงสัยซึ่งกันและกัน(ในจำนวนหนี้สิน) ยกเว้น ในกรณีที่เป็นการค้าในปัจจุบันซึ่งพวกเจ้าหมุนเวียนระหว่างพวกเจ้าเอง ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใดๆ แก่พวกเจ้าที่จะไม่บันทึกมัน และเจ้าทั้งหลายจงแต่งตั้งพยานขึ้นเถิด เมื่อพวกเจ้าทำสัญญา(ซื้อขายกัน) และทั้งผู้บันทึกและพยานนั้น จงอย่า (ใช้เล่ห์กลแห่งสัญญา)ทำความเดือนร้อน (แก่ฝ่ายเจ้าหนี้หรือฝ่ายลูกหนี้) และหากพวกเจ้าไม่กระทำ(ตามที่ได้บัญญัติไว้นี้) แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นก็จะเป็นความชั่วร้ายแก่พวกเจ้าและพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และอัลลอฮ์ทรงสอนพวกเจ้าและอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุกๆสิ่ง |
283. |
|
284. |
เป็นสิทธิแห่งอัลลอฮ์ สรรพสิ่งในชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดินและหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้าหรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม อัลลอฮ์ก็จักทรงนำมันมาสอบสวนอย่างแน่นอนและพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง
|
285. |
ศาสนทูต และมวลผู้ศรัทธา ย่อมศรัทธาในสิ่ง(คัมภีร์)ที่ถูกประทานมายังเขาจากองค์อภิบาลของเขาทุกคนต่างมีศรัทธามั่นในอัลลอฮ์ในมาลาอีกะห์ของพระองค์ ในบรรดาคำภีร์ของพระองค์และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขากล่าวว่า เราได้ยิน และเราภักดีขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิด โอ้องค์อภิบาลของเรา และเป้าหมาย(ของเรา) ย่อมคืนสู่พระองค์ |
286. |
อัลลอฮ์ไม่ทรงวางภาระให้แก่มนุษย์ด้วยความรับผิดชอบที่หนักเกินกว่าที่เขาจะแบกรับได้ทุกคนจะได้รับผลแห่งความดีที่เขาได้ขวนขวายไว้และจะได้รับผลตอบแทนแห่งความชั่วที่เขาได้กระทำไว้ |