20. ฏอฮา

1.

ฏอฮา

2.

เรามิได้ให้อัลกุรอานลงมาแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าลำบาก

3.

เว้นแต่เป็นการตักเตือนแก่ผู้ที่ยำเกรง

4.

เป็นการประทานลงจากพระผู้สร้างแผ่นดินและชั้นฟ้าทั้งหลายอันสูงส่ง

5.

ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์

6.

กรรมสิทธิ์ของพระองค์นั้นคือ สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน

7.

และหากว่าเจ้ากล่าวเสียงดัง เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับและสิ่งซ่อนเร้น

8.

อัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์สำหรับพระองค์นั้นทรงพระนามอันสวยงาม

9.

และเรื่องราวของมูซาได้มีมาถึงเจ้าบ้างไหม ?

10.

เมื่อเขาเห็นไฟ เขาจึงกลัวแก่ครอบครัวของเขาว่า พวกท่านจงหยุดอยู่ที่นี่เพราะฉันเห็นไฟบางทีฉันจะนำคบเพลิงจากที่นั่นมาให้พวกท่านหรือฉันอาจจะพบผู้นำทางที่กองไฟนั้น

11.

ครั้นเมื่อเขามาถึงกองไฟนั้น มีเสียงเรียกขึ้นว่า โอ้ มูซาเอ๋ย !

12.

แท้จริงข้าคือพระเจ้าของเจ้า จงถอดรองเท้าทั้งสองข้างของเจ้าออกแท้จริงเจ้ากำลังอยู่ ณ หุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์ (มีชื่อว่า ) ว่า

13.

และข้าได้เลือกเจ้าฉะนั้น จงตั้งใจฟังสิ่งที่ถูกวะฮีย์

14.

แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้าดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้าและจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพื่อรำลึกถึงข้า

15.

แท้จริงวันอวสานของโลกนั้นกำลังมาถึงข้าปกปิดมันไว้เพื่อทุกชีวิตจะถูกตอบแทนตามี่มันได้แสวงหาไว้

16.

ดังนั้น ผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อมันจะต้องไม่ทำให้เจ้าเหินห่างจากมันและปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา แล้วเจ้าจะพินาศ

17.

และอะไรที่อยู่ในมือขวาขอเจ้าเล่า โอ้มูซา เอ๋ย !

18.

เขากล่าวว่า มันคือไม้เท้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ใช้มันสำหรับยันและข้าพระองค์ใช้มันตีบนพุ่มไม้เพื่อเป็นอาหารสำหรับแกะของข้าพระองค์และข้าพระองค์ใช้มันในประโยชน์อื่น ๆ อีก

19.

พระองค์ตรัสว่า จงโยนมันไปซิ โอ้มูซาเอ๋ย

20.

เขาจึงโยนมันลงไป แล้วมันก็ได้กลายเป็นงูเลื้อย

21.

พระองค์ตรัสว่าจงจับมันขึ้นมาและอย่ากลัวเราจะให้มันกลับมาเป็นไม้เท้าตามสภาพก่อนของมัน

22.

และจงเอามือของเข้าซุกเข้าไปใต้รักแร้แล้วเอามันออกมามันจะมีสภาพขาวประกายปราศจากอันตรายใด ๆมันเป็นอีกสัญญาณหนึ่ง

23.

เพื่อเราจะให้เข้าได้เห็นบางส่วนจากสัญญาณทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของเรา

24.

จงไปหาฟิรเอาน์เพราะเขาได้ละเมิดฝ่าฝืน

25.

เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดเปิดอกของข้าพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด

26.

และทรงโปรดทำให้การงานของข้าพระองค์ ง่ายดายแก่ข้าพระองค์ด้วย

27.

และทรงโปรดแก้ปม จากลิ้นของข้าพระองค์ด้วย

28.

เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์

29.

และทรงโปรดให้คนในครอบครัวของข้าพระองค์ เป็นผู้ช่วยแก่ข้าพระองค์ด้วย

30.

ฮารูนพี่ชายของข้าพระองค์

31.

ได้โปรดให้เขาเพิ่มความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วย

32.

และให้เขามีส่วนร่วมในกิจการของข้าพระองค์ด้วย

33.

เพื่อเราจักได้ถวายการแซ่ซร้องสดุดีต่อพระองค์ท่านอย่างมากมาย

34.

และเราจักได้รำลึกถึงพระองค์ท่านอย่างมากมาย

35.

แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงเห็นเรา

36.

พระองค์ตรัสว่า แน่นอน เราได้ให้ตามคำขอของเจ้าแล้ว โอ้ มูซาเอ๋ย

37.

และโดยแน่นอน เราได้ให้ความโปรดปรานแก่เจ้ามาครั้งหนึ่งก่อนนี้แล้ว

38.

โดยที่เราได้ดลใจให้มารดของเจ้าถึงสิ่งที่ถูกดลใจ

39.

โดยให้นางวางเขาลงในหีบ แล้วเอาไปปล่อยในแม่น้ำ (ไนล์)แล้วแม่น้ำก็ซัดเขาไปติดที่ชายฝั่ง (จากนั้น)ศัตรูของข้าและศัตรูของเขาก็จะเก็บเอาเขาไปและข้าก็ได้ให้ความรักจากข้าแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้รับการเลี้ยงดูภายใต้การดูแลของข้า

40.

เมื่อพี่สาวของเจ้าเดินไป เธอได้พูด (กับพวกนั้น) ว่าฉันจะชี้แนะผู้ที่เลี้ยงดูเขาแก่พวกท่านไหม? แล้วเราให้เจ้ากับไปหามารดาของเจ้าเพื่อที่จะได้เป็นที่รื่นรมณ์แก่สายตาของนางและไม่เศร้าโศกและเจ้าได้ฆ่าชายคนหนึ่งแล้วเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากความหนักใจ และเราได้ทดสอบเจ้าด้วยการทดสอบนานาชนิดแล้วเจ้าได้พำนักอยู่กับชาวมัดยันเป็นเวลาหลายปี ภายหลังเจ้าได้กลับมาตามกำหนด โอ้มูซาเอ๋ย !

41.

และเราได้เลือกเจ้าเพื่อทำหน้าที่ของข้า

42.

เจ้าจงไปพร้อมกับพี่ชายของเจ้า พร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายของข้าและเจ้าทั้งสองอย่าเฉื่อยชาในการรำลึกถึงข้า

43.

เจ้าทั้งสองจงไปหาฟิรเอาน์แท้จริงเขายะโสโอหังมาก

44.

แล้วเจ้าทั้งสองจงพูดกับเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยนบางทีเขาอาจจะรำลึกขึ้นมาหรือเกิดความยำเกรงขึ้น

45.

เขาทั้งสองได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเราแท้จริงเรากลัวว่าเขาจะล่วงเกินเรา

46.

พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองอย่ากลัวแท้จริงข้าอยู่กับเจ้าทั้งสองข้าได้ยินและได้เห็น (ทุกสิ่งทุกอย่าง)

47.

ดังนั้น เจ้าทั้งสองจงไปหาเขาแล้วกล่าวว่าแท้จริงเราเป็นร่อซู้ลของพระเจ้าของท่านฉะนั้นท่านจงปล่อยวงศ์วานอิสรออีลมากับเราเถิดและอย่าได้ทรมานพวกเขาเลย แน่นอน เราได้นำสัญญาณจากพระเจ้าของท่านมายังท่านแล้วและความปลอดภัย (จากการลงโทษของอัลลอฮ์)จงมีแด่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง

48.

แท้จริงได้มีวะฮีย์มายังเราว่า แท้จริงการลงโทษจะประสบแก่ผู้ที่ปฏิเสธ(บรรดานบีของอัลลอฮ์) และหันหลัง (ให้กับการอีมาน)

49.

เขากล่าวว่า ดังนั้น ใครเล่าคือพระเจ้าของท่านทั้งสอง โอ้มูซาเอ๋ย

50.

มูซากล่าวว่า พระเจ้าของเราคือผุ้ทรงประทานทุกอย่างแก่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างแล้วพระองค์ก็ทรงชี้แนะแนวทางให้

51.

เขากล่าวว่า แล้วสภาพของคนรุ่นก่อน ๆ นั้นเป็นเช่นไร ?

52.

มูซากล่าวว่า ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉัน ในบันทึกของพระองค์พระเจ้าของฉันจะไม่ทรงผิดพลาด และไม่ทรงหลงลืม

53.

พระผู้ทรงทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบเรียบ สำหรับพวกท่านและทรงทำให้เป็นถนนหนทางสำหรับพวกท่านและทรงหลั่งน้ำฝนมาจากฟากฟ้าและเราได้ให้พืชผลนานาชนิดออกมาเป็นคู่ ๆ

54.

พวกเจ้าจงกิน และจงเลี้ยงปศุสัตว์ของพวกเจ้า แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับปัญญาชน

55.

จากแผ่นดินเราได้บังเกิดพวกเจ้า และ ณ แผ่นดินนั้นเราจะให้พวกเจ้ากลับคืนไปและจากแผ่นดินนั้น เราจะให้พวกเจ้ากลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง

56.

และแน่นอน เราได้ให้เขาเห็นสัญญาณทั้งหมดของเราแต่เขาได้ปฏิเสธและดื้อดึง

57.

เขากล่าวว่า เจ้ามาหาเราเพื่อที่จะเอาเราออกจากแผ่นดินของเราด้วยเล่ห์กลของเจ้ากระนั้นหรือ โอ้ มูซาเอ๋ย !

58.

ดังนั้น เราก็จะนำมาซึ่งเล่ห์กลนั้นเจ้าเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเจ้าจงกำหนดวันขึ้นระหว่างเรากับท่าน ณ สถานที่ที่แน่นอนโดยที่เราจะไม่ผิดสัญญาและตัวท่านด้วย

59.

มูซากล่าวว่า กำหนดวันของพวกท่านคือวันอีดวันรื่นเริงโดยให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกันในตอนสาย

60.

ฟิรเอาน์ได้กลับออกไป เพื่อไปร่วมมือกันวางแผนการณ์ของเขา แล้วได้มายังที่นัดหมาย

61.

มูซาได้กล่าวแก่พวกเขา ความหายนะจงประสบแก่พวกท่านพวกท่านอย่าได้เสกสรรปั้นแต่งการมุสาต่ออัลลอฮ์มิฉะนั้นพระองค์จะทรงทำลายพวกท่านด้วยการลงโทษ และแน่นอนผู้ปั้นแต่งการมุสานั้นได้ประสบความผิดหวังมาแล้ว

62.

พวกเขาได้โต้แย้งกันในเรื่องของพวกเขา และได้มีการพูดกันอย่างลับ ๆ

63.

พวกเขากล่าวว่า สองคนนี้มิได้เป็นอื่นใด นอกจากเป็นนักมายากลอย่างแน่นอนต้องการที่จะเอาพวกท่านออกจาแผ่นดินของพวกท่านด้วยเล่ห์กลของเขาทั้งสองและต้องการจะลบล้างขนบธรรมเนียมอันดีงามของพวกท่าน

64.

ดังนั้น พวกท่านจงรวบรวมแผนการณ์ของพวกท่าน แล้วเดินออกมาเป็นแถวและวันนี้ผู้ใดเหนือกว่า ก็จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

65.

พวกเขากล่าวว่า โอ้ มูซาเอ๋ย ! ท่านจะเป็นผู้โยนหรือว่าพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน

66.

มูซากล่าวว่า แต่ว่าพวกท่านจงโยนก่อนเถิด ณ บัดนั้นเชือกและไม้เท้าของพวกเขาดูประหนึ่งว่ามันเลื้อยคลานไปมาเพราะเล่ห์กลของพวกเขา

67.

มูซาจึงรู้สึกกลัวขึ้นในตัวของเขา

68.

เรากล่าวว่า เจ้าอย่ากลัว แท้จริง เจ้าอยู่ในสภาพที่เหนือกว่า

69.

และเจ้าจงโยนสิ่งที่อยู่ในมือขวาของเจ้า มันจะกลืนสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นแท้จริงสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นนั้นเป็นแผนของนักมายากลและนักมายากลนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าเขาจะมาจากทางไหนก็ตาม

70.

ดังนั้น พวกมายากลได้ก้มลงสุญูด โดยกล่าวว่า เราขอศรัทธาต่อพระเจ้าของฮารูนและมูซา

71.

เขา (ฟิรเอาน์) กล่าวว่า พวกท่านศรัทธาต่อเขาก่อนที่ฉันจะขออนุญาตให้แก่พวกท่านกระนั้นหรือ ?แท้จริงเขาต้องเป็นหัวหน้าของพวกท่าน ซึ่งได้สอนวิชามายากลแก่พวกท่านฉะนั้นฉันจะตัดมือและเท้าของพวกท่านสลับข้างกันและฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผาลัม และพวกท่านก็จะรู้อย่างแน่ชัดว่าผู้ใดในหมู่พวกเราที่จะให้การลงโทษที่สาหัสกว่า และยาวนานยิ่งกว่า

72.

พวกเขากล่าวว่าเราจะไม่ฝักใฝ่ท่านมากกว่าหลักฐานที่ชัดแจ้งที่ได้มายังเราขอสาบานต่อพระผู้ให้บังเกิดเราท่านจงกระทำตามสิ่งที่ท่านต้องการจะกระทำผิดแท้จริงท่านจะกระทำได้ในชีวิตแห่งโลกนี้เท่านั้น

73.

แท้จริง เราได้ศรัทธาต่อพระเจ้าของเราเพื่อพระองค์จะทรงอภัยความผิดต่าง ๆของเราให้แก่เราและทรงอภัยสิ่งที่ท่านได้บังคับให้เรากระทำเกี่ยวกับเรื่องมายากลและอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศยิ่งและทรงยั่งยืนตลอดไป

74.

ความจริงนั้น ผู้ใดมาหาพระเจ้าของเขาในสภาพของผู้กระทำความผิด แน่นอนเขาจะได้รับนรกเป็นการตอบแทน โดยที่เขาจะไม่ตายและไม่เป็นในนั้น

75.

และผู้ใดมาหาพระองค์โดยเป็นผู้ศรัทธาเขาได้กระทำความดีต่าง ๆ ไว้ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้นจะมีสถานะอันสูงส่ง

76.

สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพรณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านพวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้ขัดเกลาตนเอง(ให้พ้นจากความชั่ว)

77.

และโดยแน่นอน เราได้วะฮีย์แก่มูซาว่าจงเดินทางในเวลากลางคืนพร้อมด้วยปวงบ่าวของข้าแล้วฟาดลงในทะเลให้เป็นทางเดินแห้งแก่พวกเขาเจ้าอย่าได้กลัวว่าจะถูกตามทัน และจ้าอย่าได้กลัวจมน้ำ

78.

ฟิรเอาน์พร้อมด้วยไร่พลของเขาได้ตามมาทันพวกเขา แล้วน้ำจากทะเลได้ท่วมทำให้พวกเขาจมน้ำ

79.

และฟิรเอาน์ได้ทำให้กลุ่มชนของเขาหลงผิด และมิได้แนะทางที่ถูกต้องให้

80.

โอ้ วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย ! แน่นอนเราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากศัตรูของพวกเจ้าและเราได้สัญญาพวกเจ้าทางด้านขวาของภูเขาฏูรและเราได้ให้อาหารหวานและนกคุ่มแก่พวกเจ้า

81.

พวกเจ้าจงกินจากสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าและพวกเจ้าอย่าได้ฝ่าฝืน มิฉะนั้นความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้าและผู้ใดที่ความกริ้วของข้าจะเกิดขึ้นแก่เขาแน่นอนเขาจะประสบความพินาศ

82.

และแท้จริง ข้าเป็นผู้อภัยอย่างมากหลายแก่ผู้ลุแก่โทษ และศรัทธาและประกอบความดีแล้วยึดมั่นอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

83.

และอะไรเล่าที่ทำให้เจ้ารีบเร่งออกจากกลุ่มชนของเจ้า โอ้ มูซาเอ๋ย !

84.

เขากล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นตามหลังข้าพระองค์มาอยู่แล้วและข้าพระองค์ได้รีบเร่งมายังพระองค์เท่านั้นโอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ก็เพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยเท่านั้น

85.

พระองค์ตรัสว่า แท้จริงเราได้ทดสอบกลุ่มชนของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้จากมาและซามิรีย์ก็ได้ทำให้พวกเขาหลงทาง

86.

มูซาได้กลับมายังกลุ่มชนของเขาด้วยความกริ้วโกรธเสียใจเขากล่าวว่าโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ยพระเจ้าของพวกท่านมิได้ทรงสัญญากับพวกท่านด้วยสัญญาที่ดีดอกหรือคำมั่นสัญญานั้นนานเกินไปสำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ ?หรือว่าพวกท่านประสงค์ที่จะให้ความกริ้วจากพระเจ้าของพวกท่าน เกิดขึ้นแก่พวกท่าน ?พวกท่านจึงได้บิดพริ้วสัญญาของฉัน

87.

พวกเขากล่าวว่า เรามิได้บิดพริ้วสัญญาของท่าน ตามความสมัครใจของเราดอกแต่ว่าเราต้องแบกน้ำหนักเครื่องประดับของพรรคพวกอย่างมากมายเราจึงโยนมันลงไปเช่นเดียวกัน ซามิรีย์ก็ได้โยนมันลงไปด้วย

88.

แล้วซามิรีย์ก็ได้ทำลูกวัวออกมาเป็นรูปร่างมีเสียงร้องพวกเขาจึงกล่าวว่านี่คือพระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของมูซา แต่เขาลืมเสีย

89.

พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า มันไม่อาจจะให้คำตอบแพวกเขาและมันไม่สามารถจะให้โทษและให้คุณแก่พวกเขาเลย

90.

และโดยแน่นอน ฮารูนกล่าวกับพวกเขาก่อนว่าโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ยแท้จริงพวกท่านถูกทดสอบให้หลงเสียแล้วและแท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระผู้ทรงกรุณาปรานีดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตามฉัน และจงเชื่อฟังคำสั่งของฉัน

91.

พวกเขากล่าวว่า เรายังคงจะบูชามันโดยจะจงรักภักดี (ต่อมัน)จนกว่ามูซาจะกลับมาหาพวกเรา

92.

(เมื่อมูซากลับมาแล้ว) เขากล่าวว่า โอ้ฮารูนเอ๋ย อันใดเล่าที่ยับยั้งท่านเมื่อท่านเห็นพวกเขาหลงผิด

93.

ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตามฉัน ท่านฝ่าฝืนคำสั่งของฉันกระนั้นหรือ ?

94.

ฮารูน กล่าวว่า โอ้ลูกของแม่ฉันเอ๋ย อย่าดึงเคราและศีรษะของฉันซิ แท้จริงฉันกลัวว่าท่านจะกล่าว (แก่ฉัน) ว่าท่านได้ก่อการแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีลและท่านไม่คอบฟังคำสั่งของฉัน

95.

มูซากล่าวว่า เจ้าต้องการอะไร โอ้ซามิรีย์เอ๋ย !

96.

เขากล่าวว่า ฉันเห็นในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น ดังนั้นฉันจึงกำเอากอบหนึ่งจากรอยของร่อซู้ล (หมายถึงญิบรีล)แล้วฉันได้โยนมันลงไปและเช่นนั้นแหละจิตใจของฉันได้เห็นดีเห็นงาม

97.

มูซากล่าวว่า ท่านจงออกไปแท้จริงสำหรับท่านในชีวิตนี้จะได้รับการลงโทษโดยท่านกล่าวว่าอย่ามาแตะต้องฉันและแท้จริงสำหรับท่านนั้นมีสัญญาหนึ่งท่านจะไม่ถูกทำให้ผิดสัญญาและจงดูพระเจ้าของท่านซึ่งท่านยึดถือบูชามันแน่นอนเราจะเผามันแล้วเราจะโปรยมันลงในทะเลให้กระจาย

98.

แท้จริง พระเจ้าของพวกท่านนั้นคือ อัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์พระองค์ทรงแผ่ความรอบรู้ในยังทุกสิ่ง

99.

เช่นนี้แหละ เราได้บอกเล่าข่าวคราวที่ได้เกิดขึ้นแต่กาลก่อนแก่เจ้าและแน่นอนเราได้ให้ข้อเตือนสติ จากเราแก่เจ้า

100.

ผู้ใดหันหลังให้อัลกุรอานแท้จริงเขาจะแบกโทษหนักในวันกิยามะฮ์ (อยู่ในนรก)

101.

พวกเขาจะพำนักอย่างถาวรอยู่ในนั้นและโทษหนักนั้นเป็นความชั่วช้าสำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์เสียนี่กระไร!

102.

วันซึ่งสังข์จะถูกเป่า และในวันนั้นเราจะรวมนักโทษทั้งหลายที่มีตาสีฟ้าไว้ด้วยกัน

103.

พวกเขาจะกระซิบกระซาบระหว่างกันว่า พวกท่านมิได้พักในโลกนี้นอกจากเพียง 10 วันเท่านั้น

104.

เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าวกัน เมื่อผู้มีความคิดที่ดียิ่งกล่าวว่าพวกท่านมิได้พักอยู่ นอกจากเพียงวันเดียวเท่านั้น

105.

และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับภูเขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)พระเจ้าของฉันจะทรงทำให้มันแตกออกเป็นผุยผง

106.

แล้วจะทรงปล่อยให้มันเป็นที่ราบโล่งเตียน (ไม่มีต้นไม้และสิ่งก่อสร้าง)

107.

สูเจ้าจะไม่เห็น ณ ที่นั้น ที่ลุ่มและที่ดอน

108.

วันนั้นพวกเขาจะติดตามผู้ร้องเรียกไปโดยไม่มีการอิดเอื้อนแต่ประการใดเสียงทั้งหลายก็จะลดค่อยลงต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีเจ้าจะไม่ได้ยินเสียงใด นอกจากเสียแผ่วเบา

109.

วันนั้น การชะฟาอะฮ์จะไม่เกิดประโยชน์อันใดนอกจากผู้ที่พระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงอนุญาตแก่เขาและพระองค์ทรงพอพระทัยในคำพูดของเขาเท่านั้น

110.

พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา และสิ่งต่างๆที่อยู่ลับหลังพวกเขาและความรู้ของพวกเขาไม่อาจจะเท่าเทียมความรู้ของพระองค์ได้

111.

และใบหน้าทั้งหลายได้สยบลงต่อพระผู้ทรงเป็นอยู่เสมอ พระผู้ทรงอมตะ และแน่นอนผู้ที่แบกเอาความอธรรมไว้ (ชิริก) ต้องประสบกับการขาดทุนอย่างแน่นอน

112.

และผู้ใดปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลายโดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาเขาจะไม่กลัวความอธรรมและการบั่นทอนใด ๆ

113.

และเช่นนั้นแหละ เราได้ให้กุรอานเป็นภาษาอาหรับลงมาแก่เขาและเราได้กล่าวซ้ำในนั้นซึ่งข้อตักเตือนหวังว่าพวกเขาจะมีความยำเกรงหรือเกิดข้อเตือนใจแก่พวกเขา

114.

ดังนั้น อัลลอฮ์คือพระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง พระผู้ทรงอำนาจอันแท้จริงและเจ้าอย่ารีบเร่งในการอ่านอัลกุรอาน ก่อนที่วะฮีย์ของพระองค์จะจบลงและจงกล่าวเถิดข้าแต่พระเจ้าของข้า พระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพระองค์ด้วย

115.

และโดยแน่นอน เราได้ให้คำมั่นสัญญาแก่อาดัมแต่กาลก่อนแต่เขาได้ลืมและเราไม่พบความมั่ใจอดทนในตัวเขา

116.

และเมื่อเรากล่าวแก่บรรดามลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดคารวะแก่อาดัมและพวกเขาได้สุญูดนอกจากอิบลีส มันได้ดื้อดึง

117.

แล้วเราได้กล่าวว่า โอ้อาดัมเอ๋ย ! แท้จริงนี่คือศัตรูของเจ้าและของภริยาของเจ้าดังนั้นอย่าให้มันทำให้เจ้าทั้งสองออกจากสวนสวรรค์ แล้วเจ้าจะได้รับความลำบาก

118.

แท้จริงในสวนสวรรค์นั้น เจ้าจะไม่หิวและจะไม่ต้องเปลือยกาย

119.

และแท้จริงในสวนสวรรค์นั้น เจ้าจะไม่กระหายน้ำ และจะไม่ตากแดด

120.

ต่อมาชัยตอนมารร้ายได้กระซิบกระซาบเขา มันกล่าวว่า อาดัมเอ๋ยฉันจะชี้แนะแก่ท่านไปยังต้นไม้ที่อยู่เป็นนิจตลอดกาลและการมีอำนาจที่ไม่สูญสลายเอาไหม?

121.

ดังนั้น เขาทั้งสองจึงกินจากต้นไม้นั้นสิ่งพึงสงวนของทั้งสองจึงถูกเผยแก่เขาทั้งสองเขาทั้งสองจึงเริ่มเอาใบไม้ของสวนนั้นมาปกปิดบนตัวของเขาทั้งสองและอาดัมได้ฝ่าฝืนพระเจ้าของเขา เขาจึงหลงผิด

122.

ภายหลัง พระเจ้าของเขาทรงคัดเลือกเขาแล้วทรงอภัยโทษให้แก่เขาและทรงแนะทางที่ถูกต้องให้เขา

123.

พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์ทั้งหมด โดยบางคน (ลูกหลาน)ในหมู่พวกเจ้าเป็นศัตรูกับอีกบางคนบางทีเมื่อมีคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์)จากข้ามายังพวกเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) ของข้า เขาก็จะไม่หลงผิดและจะไม่ได้รับความลำบาก

124.

และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือการมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด

125.

เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่าทั้งๆที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น

126.

พระองค์ตรัสว่า เช่นนั้นแหละ เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้าเจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม

127.

และเช่นเดียวกันเราจะตอบแทนผู้ที่ล่วงละเมิดขอบเขตและไม่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของพระเจ้าและแน่นอน การลงโทษในปรโลกนั้นสาหัสยิ่ง และยาวนานยิ่ง

128.

ยังมิเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาดอกหรือว่า กี่มากน้อยแล้วเราได้ทำลายประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาหลายชั่วศตวรรษ โดยที่พวกเขา (กุฟารมักกะฮ์)ได้ไปพบเห็นมาในที่พำนักอาศัยของพวกเขาแท้จริงในการลงโทษเช่นนั้นแหละเป็นนิทัศน์อุทาหารณ์สำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญา

129.

และหากมิใช่ลิขิตจากพระเจ้าของเจ้า ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วแน่นอนการลงโทษจะเกิดขึ้นทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

130.

ดังนั้น เจ้าจงอดทนต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวร้ายและจงแซ่ซร้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า ก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันลับลงไปและส่วนหนึ่งจากเวลากลางคืน ก็จงแซ่ซร้องสดุดีและปลายช่วงของเวลากลางวันเพื่อเจ้าจะได้พออกพอใจ

131.

และเจ้าจงอย่าทอดสายตาของเจ้าไปยังสิ่งที่เราได้ให้ความเพลิดเพลินแก่บุคคลประเภทต่างๆ ของพวกกุฟฟาร ซึ่งความสุขสำราญในโลกดุนยา เพื่อเราจะได้ทดสอบพวกเขาในการนี้และการตอบแทนของพระเจ้านั้น ดียิ่งกว่าและจีรังยิ่งกว่า

132.

และเจ้าจงใช้ครอบครัวของเจ้าให้ทำละหมาด และจงอดทนในการปฏิบัติเรามิได้ขอเครื่องยังชีพจากเจ้า เราต่างหากเป็นผู้ให้เครื่องยังชีพแก่เจ้าและบั้นปลายนั้นสำหรับผู้ที่มีความยำแกรง

133.

และพวกเขากล่าวว่าทำไมเขาจึงไม่นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขามาให้เราหรือว่าหลักฐานอันชัดแจ้งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ สมัยก่อนนั้น มิได้มีมายังพวกเขาดอกหรือ?

134.

และหากเราทำลายพวกเขาด้วยการลงโทษก่อนการให้อัลกุรอานลงมาแน่นอนพวกเขาก็กล่าวว่าข้าแต่พระเจ้าของเราทำไมพระองค์ท่านจึงไม่ส่งร่อซู้ลมายังพวกเราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตามโองการของพระองค์ท่านก่อนที่เราจะได้รับความต่ำต้อยและความอัปยศ

135.

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ทุกคนเป็นผู้คอยดังนั้น พวกท่านจงคอยเถิดแล้วพวกท่านจะได้รู้ว่าใครคือ พวกที่อยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรงและใครคือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง