1. |
|
2. |
(นี่คือ) การกล่าวถึงเมตตาธรรมแห่งพระเจ้าของเจ้า ที่มีต่อซะกะรียาบ่าวของพระองค์ |
3. |
เมื่อเขาวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา ด้วยการวิงวอนอย่างค่อย ๆ |
4. |
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์แท้จริงกระดูกของข้าพระองค์อ่อนแล้วและศีรษะก็มีประกายหงอกแล้วและมิเคยปรากฏเลยว่าการวิงวอนของข้าพระองค์ต่อพระองค์นั้นไร้ผลโอ้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ |
5. |
และแท้จริงข้าพระองค์กลัวลูกหลานของข้าพระองค์ ภายหลัง (การตายของ)ข้าพระองค์และภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันด้วยดังนั้นขอพระองค์ทรงโปรดประทานทายาที่ดีจากพระองค์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด |
6. |
ผู้ซึ่งจะสืบทายาทแทนข้าพระองค์และสืบทายาทจากตระกูลของยะอ์กูบและขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาเป็นที่โปรดปรานด้วยเถิดข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ |
7. |
โอ้ ซะกะรียาเอ๋ย ! แท้จริงเราจะแจ้งข่าวดีแก่เจ้าซึ่งลูกคนหนึ่งชื่อของเขาคือยะห์ยาเรามิเคยตั้งชื่อผู้ใดมาก่อนเลย |
8. |
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์จะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อภริยาของข้าพระองค์ก็เป็นหมันและข้าพระองค์ได้บรรลุสู่ความแก่ชราแล้ว ! |
9. |
เขา (มลัก) กล่าวว่า กระนั้นก็ดี พระเจ้าของเจ้าได้ตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้าและแน่นอนข้าได้บังเกิดเจ้ามาก่อน เมื่อเจ้ายังมิได้เป็นสิ่งใด |
10. |
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้มีสัญญาณแก่ข้าพระองค์ด้วย พระองค์ตรัสว่าสัญญาณของเจ้าคืออย่าพูดกับผู้คนเป็นเวลาสามคืนทั้ง ๆ ที่เจ้าอยู่ในสภาพที่สมบูณ์ |
11. |
แล้วเขาได้ออกจากแท่นสวดมายังหมู่ชนของเขาและเขาได้ชี้ใบ้แก่พวกของเขาว่าพวกท่านจงกล่าวสดุดีในยามเช้าและยามเย็น |
12. |
โอ้ ยะห์ยาเอ๋ย ! เจ้าจงยึดมั่นในคัมภีร์ (เตารอฮ์) อย่างมั่นคงและเราได้ประทานความเฉลียวฉลาดให้เขา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ |
13. |
และความน่าสงสารจากเรา และความบริสุทธิ์แก่เขาและเขาเป็นผู้ยำเกรง |
14. |
และเป็นผู้กระทำความดีต่อบิดามารดาของเขา และเขามิได้เป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้ฝ่าฝืน |
15. |
และความศานติจงมีแด่เขา วันที่เขาถูกคลอด และวันที่เขาตายและวันที่เขาถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่ |
16. |
และจงกล่าวถึง (เรื่องของ)มัรยัมที่อยู่ในคัมภีร์เมื่อนางได้ปลีกตัวออกจากหมู่ญาติของนางไปยังมุมหนึ่งทางตะวันออก (ของบัยตุลมักดิส) |
17. |
แล้วนางได้ใช้ม่านกั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (ญิบรีล)ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์ |
18. |
นางกล่าวว่า แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีให้พ้นจากท่านหากท่านเป็นผู้ยำเกรง |
19. |
เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นเพียงฑูตแห่งพระเจ้าของเธอเพื่อฉันจะให้ลูกชายผู้บริสุทธิ์แก่เธอ |
20. |
นางกล่าวว่า ฉันจะมีลูกได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่ไม่มีชายใดมาแตะต้องฉันเลยและฉันก็มิได้เป็นหญิงชั่ว |
21. |
เขา (ญิบรีล) กล่าวว่า กระนั้นก็เถิด พระเจ้าของเธอตรัสว่า มันง่ายสำหรับข้าและเพื่อเราจะทำให้เขาเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับมนุษย์และเป็นความเมตตาจากเราและนั่นเป็นกิจการที่ถูกกำหนดไว้แล้ว |
22. |
แล้วนางได้ตั้งครรภ์ และนางได้ปลีกตัวออกไปพร้อมกับบุตรในครรภ์ยังสถานที่ไกลแห่งหนึ่ง |
23. |
ความเจ็บปวดใกล้คลอดทำให้นางหลบไปที่โคนตัวต้นอินทผาลัมนางได้กล่าวว่า โอ้ !หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้ และฉันเป็นคนไร้ค่าถูกลืมเสียก็จะดี |
24. |
ดังนั้น เขา (มะลัก) ได้เรียกนางทางเบื้องล่างต้นอินทผลัมว่า อย่าได้เศร้าเสียใจแน่นอน พระเจ้าของเธอทรงจัดลำธารไว้เบื้องล่างเธอแล้ว |
25. |
และจงเขย่าต้นอินทผลัม ให้มันเอนมาทางตัวเธอมันจะหล่นลงมาที่ตัวเธอเป็นอินทผลัมที่สุกน่ากิน |
26. |
ฉะนั้น จงกิน จงดื่ม และจงทำจิตใจให้เบิกบานเถิด หากเธอเห็นมนุษย์คนใดก็จงกล่าวว่าฉันได้บนการสงบนิ่งไว้ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีฉันจะไม่พูดกับผู้ใดเลยวันนี้ |
27. |
แล้วนางใดพาเขามายังหมู่ญาติของนางโดยอุ้มเขามาพวกเขากล่าวว่า โอ้ มัรยัมเอ๋ย !แท้จริงเธอได้นำเรื่องประหลาดมาแล้ว |
28. |
โอ้ น้องหญิงของฮารูน พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่วและแม่ของเธอก็มิได้เป็นหญิงไม่บริสุทธิ์ |
29. |
นางชี้ไปทางเขา พวกเขากล่าวว่า เราจะพูดกับผู้ที่อยู่ในเปลที่เป็นเด็กได้อย่างไร? |
30. |
เขา (อีซา) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮ์พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนบี |
31. |
และพระองค์ทรงให้ฉันได้รับความจำเริญ ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ ที่ใดและทรงสั่งเสียให้ฉันทำการละหมาดและจ่ายซะกาตตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่ |
32. |
และทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโสผู้เลวทรามต่ำช้า |
33. |
และความศานติจงมีแด่ฉัน วันที่ฉันถูกคลอด และวันที่ฉันตายและวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่ |
34. |
นั่นคืออีซาบุตรของมัรยัม มันเป็นคำบอกเล่าที่จริง ซึ่งพวกเขายังมีความสงสัยกันอยู่ |
35. |
ไม่เป็นการบังควรสำหรับอัลลอฮ์ ที่พระองค์จะทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตรมหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน ! เมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใดพระองค์จะตรัสแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา |
36. |
และแท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงเคารพภักดีพระองค์เถิด นี่คือทางอันเที่ยงตรง |
37. |
คณะต่าง ๆ ได้ขัดแย้งระหว่างกันเองดังนั้น ความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเมื่อมีการชุมนุมแห่งวันอันยิ่งใหญ่เถิด |
38. |
พวกเขาจะได้ฟังอย่างชัดแจ้งและเห็นอย่างชัดอะไรอย่างนั้น ! วันที่พวกเขาจะมาหาเราแต่วันนี้บรรดาผู้อธรรมอยู่ในการหลงผิดที่ชัดแจ้ง |
39. |
และเจ้าจงเตือนสำทับพวกเขาถึงวันแห่งความเสียใจเมื่อกิจการนั้นถูกตัดสินและพวกเขาอยู่ในหลงลืม และพวกเขาไม่ศรัทธา |
40. |
แท้จริง เราเป็นผู้ครอบครองมรดกแผ่นดินและที่อยู่บนแผ่นดินและพวกเขาจะถูกนำกลับมายังเรา |
41. |
และจงกล่าวถึง (เรื่องของ) อิบรอฮีมที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์เป็นนบี |
42. |
และจงรำลึกถึงเมื่อเขากล่าวแก่บิดาของเขาว่า โอ้พ่อจ๋าทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น และไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านเลย? |
43. |
โอ้พ่อจ๋า แท้จริงความรู้ได้มีมายังฉันแล้ว ซึ่งมิได้มีมายังท่าน ดังนั้นจงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉันเถิด ฉันจะชี้แนะท่านสู่ทางที่ราบรื่น |
44. |
โอ้พ่อจ๋า ! อย่าเคารพบูชาชัยตอนเป็นอันขาดแท้จริงชัยตอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี |
45. |
โอ้พ่อจ๋า ! แท้จริงฉันกลัวว่าการลงโทษจากพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะประสบแก่ท่านแล้วท่านก็จะเป็นสหายของชัยตอน |
46. |
เขา (บิดา) กล่าวว่า เจ้ารังเกียจพระเจ้าทั้งหลายของฉันกระนั้นหรือ โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย! หากเจ้าไม่หยุดยั้ง (จากการตำหนิ) แน่นอนฉันจะขว้างเจ้า (ด้วยก้อนหิน)และเจ้าจงไปให้พ้นจากฉันตลอดไป |
47. |
เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า ขอความศานติจงมีแด่ท่านฉันจะขออภัยโทษจากพระเจ้าของฉันให้แก่ท่านแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาแก่ฉันมาก |
48. |
และฉันจะปลีกตัวออกจากพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์และฉันจะวิงวอนขอพระเจ้าของฉันหวังว่าด้วยการวิวอนขอต่อพระเจ้าของฉันจะไม่ทำให้ฉันได้รับความทุกข์ |
49. |
ครั้นเมื่อเขาปลีกตัวออกไปจากพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาเคารพบุชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้วเราได้ให้แก่เขา อิสหาก และยะอ์กูบ และแต่ละคนเราได้แต่งตั้งให้เป็นนบี |
50. |
และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่พวกเขา และเราได้ทำให้พวกเขาได้รับการกล่าวขวัญที่ดี(ในหมู่มวลมนุษย์) |
51. |
และจงกล่าวถึงเรื่องมูซาที่อยู่ในคัมภีร์แท้จริงเขาเป็นผู้ได้รับคัดเลือกและเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี |
52. |
และเราได้ร้องเรียกเขาจากทางด้านขวาของภูเขาฎูรและเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ |
53. |
และเราได้ให้ความเมตตาของเราแก่เขาของภูเขาฎูรและเราได้ให้เขาเข้ามาใกล้ชิดเพื่อบอกความลับ |
54. |
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิสมาอีลที่อยู่ในคัมภีร์แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสัญญาและเขาเป็นร่อซู้ลเป็นนบี |
55. |
และเขาใช้หมู่ญาติของเขาให้ปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต และเขาเป็นที่โปรดปราน ณที่พระเจ้าของเขา |
56. |
และจงกล่าวถึงเรื่องของอิดรีสที่อยู่ในคัมภีร์ แท้จริงเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ เป็นนบี |
57. |
และเราได้เทิดเกียรติเขาซึ่งตำแหน่งอันสูงส่ง |
58. |
ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานพวกเขาให้เป็นนบีที่มีเชื้อสายจากอาดัมและจากเชื้อสายผู้ที่เราบรรทุกไว้ในเรือกับนูห์ และจากเชื้อสายของอิบรอฮีมและอิสรออีลและจากเชื้อสายผู้ที่เราได้ชี้แนะทางและเราได้คัดเลือกไว้เมื่อบรรดาโองการของพระผู้ทรงกรุณาปรานีถูกอ่านแก่พวกเขาพวกเขาจะก้มลงสุญูดและร้องให้ |
59. |
ภายหลังจากพวกเขาชนรุ่นชั่วก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทิ้งละหมาดและปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ |
60. |
เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธา และกระทำความดีชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวนสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด |
61. |
สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพรซึ่งพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงสัญญาแก่ปวงบ่าวของพระองค์ด้วยความเร้นลับแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นจะมีมาอย่างแน่นอน |
62. |
พวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งไร้สาระในนั้นนอกจากคำทักทายที่เป็นศานติและสำหรับพวกเขาจะได้รับเครื่องยังชีพของพวกเขาในนั้นทั้งในยามเช้าและยามเย็น |
63. |
นั่นคือสวนสวรรค์ซึ่งเราให้เป็นมรดกแก่ปวงบ่าวของเรา ผู้ที่มีความยำเกรง |
64. |
และเรา (ญิบรีล) มิได้ลงมา เว้นแต่ด้วยพระบัญชาของพระเจ้าของท่านสำหรับพระองค์นั้นสิ่งที่อยู่ระหว่างเบื้องหน้าของเราและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเราและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองและพระเจ้าของท่านนั้นมิทรงหลงลืมสิ่งใดเลย |
65. |
พระเจ้าแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์และจงอดทนต่อการเคารพภักดีพระองค์สูเจ้ารู้หรือว่ามีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ ? |
66. |
และมนุษย์ (กาฟิร) กล่าวว่า เมื่อฉันตายไปแล้วฉันจะถูกให้ออกมาในสภาพมีชีวิตจริงหรือ ? |
67. |
มนุษย์ไม่คิดบ้างหรือว่า แท้จริงเราได้บังเกิดเขามาแต่กาลก่อนโดยที่เขามิได้เป็นสิ่งใดมาก่อนเลย |
68. |
ดังนั้นด้วยพระนามของพระเจ้าของเจ้าแน่นอนเราจะชุมนุมพวกเขาพร้อมด้วยบรรดาชัยตอนแล้วเราจะนำพวกเขาให้มาคุกเข่าอยู่รอบๆ นรก |
69. |
แล้วแน่นอนที่สุดเราจะดึงออกจากทุก ๆ คณะใครในหมู่พวกเขาที่ดื้อรั้นที่สุดต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี |
70. |
แล้วแน่นอนที่สุด เรารู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่เหมาะสมยิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในนรก |
71. |
และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้านอกจากจะเป็นผู้ผ่านเข้าไปในมันมันเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วสำหรับพระเจ้าของเจ้า |
72. |
แล้วเราจะให้บรรดาผู้ยำเกรงรอดพ้นแล้วเราจะปล่อยให้บรรดาผู้อธรรมคุกเข่าอยู่ในนั้น |
73. |
และเมื่อโองการทั้งกลายอันแจ่มแจ้งของเรา ถูกอ่นขึ้นแก่พวกเขาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า ฝ่ายใดในสองฝ่ายนี้จะมีฐานะดีกว่าและมีเกียรติทางสังคมมากกว่า ? |
74. |
และกี่มากน้อยแล้วประชาชาติก่อนพวกเขาเราได้ทำลายพวกเขา โดยที่พวกเขามีสิ่งของเครื่องใช้และรูปร่างลักษณะดีกว่า |
75. |
จงกล่าวเถิด ผู้ที่อยู่ในความหลงผิดนั้นพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงผ่อนผันให้เขาระยะหนึ่งจนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ว่าจะเป็นการลงโทษในโลกนี้หรือจะเป็นการลงโทษในปรโลกแล้วพวกเขาก็จะรู้ว่าใครจะมีฐานะชั่วร้ายกว่าและมีกำลังพลน้อยกว่า |
76. |
และอัลลอฮ์จะทรงเพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่ผู้ที่อยู่ในแนวทางนั้นและการงานที่ดีที่ยั่งยืนนั้นดียิ่งณ ที่พระเจ้าของเจ้า ในการตอบแทนรางวัล และดียิ่งในการกลับ (ไปสู่พระองค์) |
77. |
เจ้าเห็นหรือไม่ว่า ผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา แล้วเขากล่าวอ้างว่าฉันจะได้รับทรัพย์สมบัติและลูกหลานนั้น |
78. |
เขาล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับหรือว่าเขาได้รับคำมั่นสัญญา จากพระผู้ทรงกรุณาปรานี ? |
79. |
เปล่าเลย ! เราจะบันทึกสิ่งที่เขากล่าวและเราจะเพิ่มการลงโทษแก่เขาอีกระยะหนึ่ง |
80. |
และเราจะรับช่วงจากเขาสิ่งที่เขากล่าวไว้และเขาจะมาหาเราอย่างโดดเดี่ยว |
81. |
และพวกเขาได้ยึดเอารูปปั้นต่าง ๆ เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์เพื่อที่จะเป็นพลังอำนาจแก่พวกเขา |
82. |
เปล่าเลย ! รูปปั้นเหล่านั้นจะปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขาและพวกมันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา |
83. |
เจ้ามิเห็นดอกหรือว่าแท้จริงเราได้ปล่อยให้ชัยตอนมีอำนาจเหนือพวกที่ปฏิเสธศรัทธาเพื่อมันจะได้ยุแหย่พวกเขาอย่างจริงจัง |
84. |
ดังนั้นเจ้าอย่าได้เร่งร้อนต่อพวกเขาแท้จริงเราได้นับวันที่เหลือสำหรับพวกเขาไว้แล้วด้วยการนับที่แน่นอน |
85. |
วันที่เราจะรวมบรรดาผู้ยำเกรง ให้มาชุมนุมต่อหน้าพระผู้ทรงกรุณาปรานีเป็นกลุ่ม ๆ |
86. |
และเราจะไล่ต้อนบรรดาผู้มีความผิดไปยังนรก อย่างสัตว์ที่กระหายน้ำเป็นฝูง ๆ |
87. |
พวกเขาไม่มีอำนาจในการชะฟาอะฮ์นอกจากผู้ที่ได้ทำสัญญาไว้กับพระผู้ทรงกรุณาปรานี |
88. |
และพวกเขากล่าวว่าพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงตั้งพระบุตรขึ้นเพื่อพระองค์ |
89. |
แน่นอนที่สุด พวกเจ้าได้นำมาซึ่งสิ่งร้ายแรงยิ่งใหญ่ |
90. |
ชั้นฟ้าทั้งหลายแทบจะพังทลายลงมาและแผ่นดินก็แทบจะถล่มลึกลงไปและขุนเขาทั้งหลายก็แทบจะยุบทลายลงมาเป็นเสี่ยง ๆ |
91. |
ที่พวกเขาอ้างพระบุตรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี |
92. |
และไม่เป็นการบังควรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี ที่พระองค์จะทรงตั้งพระบุตรขึ้น |
93. |
ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเว้นแต่เขาจะมายังพระผู้ทรงกรุณาปรานีในฐานะบ่าวคนหนึ่ง |
94. |
แน่นอนที่สุด พระองค์ทรงรอบรู้ถึงพวกเขาและทรงนับพวกเขาอย่างถี่ถ้วนไว้แล้ว |
95. |
และทุกคนในพวกเขาจะมายังพระองค์ในวันกิยามะฮ์อย่างโดดเดี่ยว |
96. |
แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณงามความดีทั้งหลายนั้นพระผู้ทรงกรุณาปรานีจะทรงโปรดปรานความรักใคร่แก่พวกเขา |
97. |
แท้จริงเราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นภาษาที่ง่ายแก่เจ้าเพื่อว่าเจ้าจะได้นำมันไปแจ้งเป็นข่าวดีแก่บรรดาผู้ยำเกรงและเจ้าจะได้นำมันไปตักเตือนหมู่ชนที่ดื้อรั้น |
98. |
และกี่มากน้อยแล้วจากประชาชาติในอดีต เราได้ทำลายพวกเขาเจ้าได้เห็นผู้ใดในหมู่พวกเขาหรือได้ยินเสียงกระซิบของพวกเขาบ้างไหม ? |